ปชป.ปล่อยคาราวาน “ของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดิน” จำหน่ายสินค้าราคาถูก 6 รายการ ทั่วพื้นที่ กทม.หวังใช้สอนมวยรัฐ ไม่ต้องอัดงบทุ่ม 1.6 พันล้าน ทำร้านโชวห่วยช่วยชาติ แก้ปลายเหตุ ถูกใจชาว กทม.แห่ซื้อสินค้าเกลี้ยงในพริบตา
วันนี้ (8 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรรค ร่วมกันปล่อยขบวนรถของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดิน ซึ่งทางพรรคจัดโครงการให้ประชาชนซื้อของถูกในสินค้า 6 รายการ ประกอบด้วย ข้าวราคาถุงละ 99 บาท ไข่ไก่ขนาดใหญ่ฟองละ 2 บาท น้ำมันปาล์ม 1 ลิตร ราคา 40 บาท บะหมี่สำเร็จรูป แพ็กละ 4.50 บาท น้ำตาลทราย กิโลกรัมละ 20 บาท และ น้ำปลา ขวดละ 15 บาท ซึ่งคาราวานสินค้าราคาถูกของพรรคประชาธิปัตย์จะตระเวนไปตามเขตต่างๆ ทั่วทุกเขตในกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มมีการกระจายสินค้าไปสู่ประชาชนในราคาต้นทุนในบางพื้นที่ไปแล้วตั้งแต่วานนี้ และในการประชุมส.ส.พรรคสัปดาห์หน้า จะมีการแจ้ง ส.ส.ทั้งหมดเเพื่อขยายโครงการไปยังต่างจังหวัดด้วย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า โครงการ “ของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดิน” เป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และต้องการกระตุ้นให้รัฐบาลได้ตระหนักว่าการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณถึง 1,600 ล้านบาท ตามโครงการโชวห่วยช่วยชาติ หรือร้านถูกใจ รวมทั้งโครงการธงฟ้าด้วย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และยังเป็นการนำเอาเงินภาษีประชาชนไปทำให้ราคาสินค้าบางส่วนลดลง และมีคนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ พรรคจึงต้องการแสดงให้เห็นว่า ถ้าเอาใจใส่ปัญหาอย่างแทัจริง สามารถที่จะซื้อสินค้าได้ในราคาต้นทุนที่สามารถนำมาขายให้กับประชาชนในราคาที่ยุติธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันปาล์ม น้ำปลา น้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น โดยพรรคซื้อมาในราคาต้นทุนและจำหน่ายกับประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และกระต้นให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาษีอากรของประชาชน ทั้งนี้ เห็นว่า รัฐบาลต้องกลับไปทบทวนโครงสร้างต้นทุนการผลิตทั้งหมด จึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า โครงการของถูกสู้แพงทั้งแผ่นดินของพรรค อาจจะไม่สามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง แต่เชื่อว่า จะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้ โดยพื้นที่ที่จะมีการจำหน่ายสินค้าจะมุ่งไปที่ประชาชนที่มีความยากจน เพื่อนำของถูกไปให้ประชาชน
ด้าน นายกรณ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นความตั้งในของ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้หาวิธีช่วยลดค่าครองชีพในเรื่องของแพงทั้งแผ่นดินให้กับประชาชน แม้ว่าสินค้าที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อประชาชนทุกคน แต่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องประชาชน อยากสะท้อนให้รัฐบาลเห็นว่า แนวทางการบริหารที่ไม่ต้องใช้งบประมาณหลักพันล้าน เพื่อนำสินค้าราคาถูกมาขายให้กับประชาชน ซึีง ส.ส.อดีตผู้สมัคร ส.ส. ส.ก.และ ส.ข.ของพรรคจะนำสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งเท่าที่ได้รับรายงานจากการเริ่มจำหน่ายสินค้าราคาถูกเมื่อวานนี้ ก็พบว่า สินค้าหมดในเวลาอันรวดเร็ว แสดงว่า ประชาชนมีความเดือดร้อน มีความต้องการที่จะเข้าถึงสินค้าจำเป็นในราคาเป็นธรรม แต่ก็ต้องขออภัยล่วงหน้าสำหรับประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึงโครงการนี้ แต่ตนหวังว่า การเคลื่อนไหวของพรรคจะช่วยขับเคลื่อนให้รัฐบาลตื่นเสียที ว่า พี่น้องประชาชนเดือดร้อนเรื่องนี้ และเพื่อให้รัฐบาลออกมานำเสนอวิธีการที่แก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างเป็นระบบ
ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สำรวจตลาดนางเลิ้งนั้น ถ้ารัฐบาลยอมรับแล้วว่าปัญหาสินค้าราคาแพงเป็นปัญหาใหญ่ มีการตรวจสอบเอาใจใส่ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ การดูต้นทุน เพราะเป็นจุดสำคัญที่สุดในเรื่องปัญหาของแพง โดยเฉพาะต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อค่าขนส่ง และกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ที่จะลุกลามออกไป ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีตรวจตลาดก็หวังว่าจะไปดูของจริง แต่ถ้าไม่มีการทบทวนนโยบายด้านพลังงาน และโครงสร้างต้นทุนก็คงแก้ปัญหาไม่ได้ จึงยืนยันว่า นโยบายพลังงานที่ผิดพลาด และการเอาใจใส่ในการแก้ปัญหาโครงสร้างต้นทุนมีความจำเป็นมากกว่าการทำโครงการเฉพาะหน้า เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลมักใช้วิธีทำโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากเดือนเมษายน ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท มีผลใน 7 จังหวัดและการปรับค่าแรง 40% มีผลทั่วประเทศ บวกกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น จะมีผลกระทบมากขึ้นตามมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งปัญหาของแพง อัตราเงินเฟ้อก็จะสูงขึ้นอีก โดยเชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อจะขยับขึ้นอีกจากเดือนที่แล้วอยู่ในอัตรา 3.45% และจะมีการส่งต่อต้นทุนจากค่าแรงมายังผู้บริโภค รวมถึงนโยบายพลังงานที่มีค่าสูงอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เงินเฟ้อรุนแรงขึ้นตามมา ซึ่งจะกดดันต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะต้องเข้มงวดกวดขันนโยบายด้านการเงินเพิ่มขึ้น และธนาคารแห่งประเทศไทยก็คงหลีกเลี่ยงที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น และก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุนี้ จะทำให้รัฐบาลมีปัญหากับธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มอีกหรือไม่ ซึ่งก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยธรรมชาติจะต้องดีดตัวขึ้นจากภาวะน้ำท่วม แต่เมื่อพบกับปัญหาต้นทุน ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุนขาดความมั่นใจก็น่าเป็นห่วง และเชื่อว่า จะกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้ด้วย แต่คงยังประเมินยากว่าจะกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่างไร