รายงานการเมือง
หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ รุ่นใหญ่แห่ง “สถาบันพระปกเปล้า” อย่าง “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” คงไม่ออกโรงมาแตะเบรก “เกมปรองดอง” ที่รัฐบาลเสียงข้างมาก กำลังดึงดันเดินหน้านำ “งานวิจัยปรองดอง” เข้าสู่การพิจารณาของ “สภาหินอ่อน” ผ่าน กมธ.ปรองดองชุด “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เป็นประธาน ที่นำไปสอดไว้ในรายงานฉบับเต็มของ กมธ.
และไม่ใช่ออกมากระตุกให้ผ่อนเครื่องเพลาเกมเท่านั้น ยังเสนอทางออกแบบ “วิน - วิน” ให้สองฝ่ายไม่ต้องบาดเจ็บกันทั้งคู่ ด้วยการยืดอายุทำงาน กมธ.ปรองดองออกไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญสมัยหน้าเป็นอย่างน้อย
และช่วงระหว่างนั้นก็ให้นำรายงานเจ้าปัญหาฉบับดังกล่าวไปนั่งหารือกันในรูปแบบการสานเสวนา สุมหัวหารือ นานาสารพัดรูปแบบ ทั้งระดับบน ระดับล่าง พรรคการเมือง เรื่อยไปจนถึงภาคประชาชน ถกเถียงกันให้ตกผลึกลงตัว จากนั้นสถานการณ์ดีขึ้นค่อยงัดมาพิจารณาใหม่กันอีกระลอก
อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ “ผลงานชิ้นโบแดง” ถูกฝ่ายการเมืองนำไปรวบรัดแปรรูปเป็น “พรมแดง” ปูทางให้ “ใครบางคน” ได้กลับบ้านเร็วขึ้น
เป็นท่วงทำนองที่คล้องจองจังหวะเดียวกันกับซีกตรงข้ามรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น “ประชาธิปัตย์-เสื้อหลากสี” ที่ออกมาโหวกเหวกโวยวายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็เปรียบเป็นเพียงเสียงเพรียกของศัตรูคู่อาฆาต ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ให้ราคา และมุ่งหน้าเร่งปิดเกมเร็วตาม “ธง” ที่ตั้งไว้
ทว่าพอ “บวรศักดิ์” ที่สวมหมวกเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ออกมาแถลงการณ์ในนาม “สถาบัน” หลังการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ก็เท่ากับเป็น “เครื่องขยายเสียง” ที่รัฐบาลต้องหันมาเมียงมอง พร้อมกับคำขู่ว่า หากสภายังดันทุรังสวนกระแสต่อต้าน เดินลุยเข้ากองเพลิง ใช้เสียงข้างมากเห็นชอบกับรายงานเพื่อส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรีเมื่อใด สถาบันพระปกเกล้าจะใช้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทวงผลงานคืน
โดยทิ้งเงื่อนไขแนบท้ายติดปลายนวมว่า หากใครคิดจะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่บางส่วนต่อสาธารณชน จะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถาบันเสียก่อน
ไม่อย่างนั้นผิดกฎหมาย!!!
ดูทางลมหลัง “สถาบันพระปกเกล้า” ออกมาเต้นรอบนี้ ถือว่าคลายปมความสงสัย และจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าวได้ไปเปราะหนึ่ง หลังจากคลุมเคลือมานานเรื่องความชัดเจน แถมยังทำให้ “คนพรรคสีฟ้า” ออกอาการลิงโลด เมื่อมี “กำลังเสริม” ต่อต้านการออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” ในเร็ววันนี้
แม้ในใจลึกๆ อยากให้เจ้าของผลงานวิจัยถอนรายงานออกมาจากสภาใจแทบขาด แต่ได้เท่านี้ก็ถือว่า “ครึ่งทาง”
หันมาไล่เรียงดูเนื้อหาแถลงการณ์ล่าสุดของสถาบันพระปกเกล้า ก็พบว่าออกแนวแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่หักดิบพุ่งชนกับฝ่ายการเมืองข้างใดข้างหนึ่ง ที่สำคัญไม่ยอมฟันธงเสียทีเดียวว่า “ถอน-ไม่ถอน” ปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องไปตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกทางเดินแบบไหน โดยตัวเองมีวงเล็บเป็นดัง “ยันต์กันผี” เอาไว้แล้วว่า พร้อมจะถอนงานวิจัยทันที หากมีการละเมิดเงื่อนไข
ว่ากันง่ายๆ “แทงกั๊ก” พร้อม “ทิ้งทุ่น” เอาตัวรอดนั่นเอง
เพราะสุดท้าย กมธ.ปรองดอง ก็ทำหูทวนลม ไม่สนใจการถอนรายงานของสถาบันพระปกเกล้า แถมเข้าเกียร์ห้าวิ่งยาวๆ เร่งสานฝันสร้างบันไดขั้นแรกให้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศอย่างเม่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ “ผลลัพธ์” ออกมาอย่างไร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการถูลู่ถูกังหนนี้ ก็ไปรับผลแห่งการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้เอาเองในฐานะ “ผู้รับผิดชอบ” แบบเต็มๆ
เรียกว่า “สถาบันพระปกเกล้า” ลดศัตรู เลี่ยงแรงกระเพื่อม และเซฟตัวเองไปได้เยอะ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ตัวการ” แห่งความขัดแย้งรอบใหม่
นอกจากนี้ คนที่ได้หน้างานนี้ไปเต็มๆ ยังหนีไม่พ้นตัว “เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า” ที่ได้ภาพผู้นำในการตัดสินใจเรื่องจุดยืนของสถาบัน หลังจากสงวนท่าที และรูดซิปปากไม่พูดเรื่องนี้มาโดยตลอด
ขณะที่วงในทุกคนต่างรู้กันว่า “บวรศักดิ์” คนนี้ ยังเป็นทีเด็ดทีขาดในการเคาะโต๊ะตัดสินใจ หลังจากบรรดาคณาจารย์ตัวเล็กตัวน้อยในสถาบันมีความคิดออกเป็นสองฝั่ง ระหว่างกลุ่มที่อยากให้ถอนแบบฉับพลันกับกลุ่มนักวิชาการจ๋าที่ยังอยากบู๊ต่อ
ส่วนสาเหตุที่ขยับช้า ตามลีลา “บวรศักดิ์” ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมาหลายรัฐบาล การที่หัวออกมาก่อนหาง แล้วเล่นผลีผลาม มีแต่เสียกับพัง สู้ปล่อยสถานการณ์ให้ไหล ถ้าออกก้อยผลตอบลัพธ์ดี ก็ชะเง้อออกมาเอาหน้าในฐานะผู้นำในองค์กร แต่หากเสียก็แสดงสปิริตว่ายังมีความสำนึกอย่างที่รอบนี้เล่น
กับคำติดปากที่ว่า ไม่เล่นไพ่ทั้งสำรับ
ตามเหลี่ยมคูการเมืองแบบ “โหรบวรศักดิ์” ที่อิงศาสตร์ความเป็นจริง และดวงบ้านดวงเมืองเป็นเกล็ดเล็กเกร็ดน้อยคอยวิเคราะห์สถานการณ์
โดยมีข้อแม้เดียว คือ ไม่เปิดหน้าชนกับฝ่ายการเมือง
ซึ่งหลังจากนี้ ต่อให้ “กมธ.ปรองดอง” ดื้อรั้นจะเดินเกมต่อ “สถาบันพระปกเกล้า” เองก็ไม่เจ็บตัว หรือแม้แต่เจ็บตัว ก็แค่แผลถลอกปอกเปิกเล็กๆน้อยๆ เพราะถอยเท้าข้างที่เหยียบฝั่งกมธ.ปรองดองออกมาข้างหนึ่งแล้ว
ต่อให้หนักที่สุดเต็มที่ก็โดนข้อหา “ผู้ร้ายกลับใจ” ที่สำนึกทันการณ์ เท่านั้นเอง