“ผู้บัญชาการทหารบก” ยันโยกย้ายตามขั้นตอน เผยช่วงเติบโตมี 2 แบบ คือ ตามระยะเวลา และกองทัพกำหนด แต่ยันไม่ใช่เอาพวกพ้อง ชี้ต้องมีผลงานชัด ระบุน้องชายไม่เสียใจแห้วแม่ทัพภาค 3 ชี้มีรุ่นพี่รออยู่จะให้โดดขึ้นมาเป็นเลยคงไม่ได้
วันนี้ (28 มี.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารกรณีที่มีกระแสข่าว พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 3 ไม่ได้ขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ว่าการปรับย้ายเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง สิ่งที่เขียนไม่ทราบว่าได้ข้อมูลจากที่ใด ที่ผ่านมาเป็นไปตามจารีตประเพณี และ ความมีคุณธรรม จริยธรรมในตัวผู้บังคับบัญชาทุกระดับที่เขาโตมาจากข้างล่าง ที่เลือกบุคคลขึ้นมากว่าจะถึงวันนี้ต้องมีสติในการทำงานในการแต่งตั้งคน ซึ่งคงจะไม่มีกฎหมายหรืพระราชบัญญัติฉบับใดที่จะมาทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยได้ ถ้าหากได้คนไม่ดีมา เพราะฉะนั้น คนสำคัญที่สุดจะต้องผ่านการคัดเลือกที่ดีขึ้นมา ซึ่งทหารโตมาจากชั้นผู้น้อย รุ่นหนึ่งมีเกือบ 200 คน จะเหลือเป็นนายพลสักกี่คนไม่รู้ ซึ่งรุ่นของตนมี 180 คนได้เป็นนายพลเกือบหมด ส่วนที่เหลือจะได้ยศพลโท พลเอก หรือไม่นั้นก็แล้วแต่เพราะมีหลายรุ่นที่พร้อมกัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเข้ารับการศึกษาในเตรียมทหารรุ่น 12 ซึ่งจะมีรุ่นอื่นๆ เช่น ตท.8, 9, 10, 11 ที่ขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นก็เป็นรุ่น 13 ถึง 17 ที่ขึ้นมาพร้อมกัน ดังนั้นเรารู้จักกันในช่วง 10 ปี การเจริญเติบโตในกองทัพ มี 2 อย่าง คือ เติบโตตามระยะเวลา ความเหมาะสม รุ่น ความอาวุโส และ อย่างที่สองคือประเภทฟาสต์แทร็ก ซึ่งกองทัพบกมีตัวกำหนด ไม่ใช่ว่าคนนี้เป็นญาติของคนนั้น คนนั้นเป็นน้องคนนี้ หรือคนนี้เป็นเพื่อนคนนั้น ถ้าทำแบบนั้นกองทัพบกจะอยู่ไม่ได้ เพราะกองทัพบกต้องเป็นกองทัพที่ต้องเข้าไปสู้รบในการปฏิบัติหน้าที่ เราต้องเลือกคนให้ดี มีความเหมาะสม ถ้าไม่ทำตามกฎ กติกา กองทัพอยู่ไม่ได้ และเราก็สั่งคนไม่ได้ เมื่อเขาไปรบก็เหมือนไปตาย ถ้าเราทำไม่ดีหรือไม่ไว้วางใจผู้บังคับบัญชา ต่อไปการทำงานก็จะลำบากมากขึ้น แล้วเราจะมีใครไปรบให้เรา
“ปีนี้คนที่จะขึ้นมาเป็นนายพล คือ ตท.รุ่น 20 บางคนอาจมีฟาสต์แทร็กบ้าง แต่ทุกคนต้องมีผลงานเป็นที่ปรากฏชัด แต่ไม่ใช่จำนวนมากจนเกินเหตุ และไม่ว่าจะทำงานเก่งแค่ไหนก็ต้องมีระยะเวลา ไม่ใช่ว่าจะเกิดเป็นช่องว่างจนห่างมากๆ แล้วขึ้นมา จะปกครองกันอย่างไร จะอยู่ในกลุ่มรุ่นพี่เยอะๆ ไหวหรือไม่ ถ้าหากต่างกัน 2-3 รุ่นยังพอได้ แต่ถ้าห่างจนเกินไป โตขึ้นมาแล้วแซงหน้าเขามากไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ใช่แบบนั้น แม้ผมจะดูเร็วแต่ไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งผมไม่ได้เสียใจ และน้องชายของผมก็ไม่ได้เสียใจ เพราะเขารู้ว่าเขาต้องเป็นอะไร ผมรุ่น 12 น้องชายผมรุ่น 15 ซึ่งรุ่น 15 ในกองทัพภาคที่ 1 ก็ได้เป็นรองแม่ทัพภาค ไม่มีรุ่น 15 คนไหนได้เป็นแม่ทัพภาค ซึ่งคนที่จะได้ยศพลโท ตามหลักการที่กองทัพไทยกำหนดไว้ คือ รุ่น 14-15 จึงจะได้พลโท นั่นคือนอกตำแหน่ง ไม่ใช่ตำแหน่งหลักอย่างแม่ทัพภาค เพราะมีคนรออยู่ มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง รออยู่ อาจจะเป็นรุ่น 13 หรือ รุ่น 14 แล้วอยู่ดีๆ จะให้รุ่น 15 ขึ้นเป็นแม่ทัพ คงไม่ได้ จะเอารุ่นพี่ไปไว้ไหน ก็รอกัน ระบบในกองทัพบกเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จะต้องมาตั้งคณะกรรมการแล้วมายกมือกัน คงไม่ใช่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว