"คำนูณ" ชี้ใครอยู่เบื้องหลังปฏิวัติไม่สำคัญ แต่สำคัญต้องพิสูจน์เหตุผลรัฐประหาร 4 ประการ ให้ชัดเจน แล้วยอมรับความจริงร่วมกันถึงจะปรองดองได้ "รสนา" ระบุ "ทักษิณ" ไม่หยุด ปัญหาแตกแยกเลยไม่จบ อย่าโทษคมช.ฝ่ายเดียว ด้าน "บุญสร้าง" ย้ำ "ป๋าเปรม" ไม่เกี่ยว
วันที่ 26 มี.ค. เมื่อเวลา 21.30 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รักษาการเลขาธิการนายกฯ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผบ.สส. และอดีตคมช. นายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกรรมาธิการปรองดอง สภาผู้แทนราษฎร และนายสมชาย หอมลออ คอป.และกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้ร่วมในรายการ "ที่นี่ Thai PBS" ช่วง "ตอบโจทย์" พูดคุยกันในหัวข้อ "ปรองดอง ... ทักษิณ ... ทางออกของประเทศไทย" ดำเนินรายการโดย นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
โดยผู้ดำเนินรายการ กล่าวถามเปิดประเด็นว่า วันที่ 19 กันยายน 2549 ใครอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร
นายวัฒนา กล่าวว่า ไม่อยากรู้ และไม่ทราบ ความจริงบางเรื่องรู้ไปไม่มีประโยน์ ไม่รู้จะรู้ไปทำไม โดยเฉพาะเรื่องการปรองดอง ความจริงเป็นหัวใจสำคัญ แต่กระบวนการค้นหาความจริง ไม่ได้ถามกันกลางที่สาธารณะ แต่มีคณะกรรมการกลางตรวจสอบค้นหาความจริง แล้วดูว่าความจริงอะไรควรเปิดเผยไม่ควรเปิดเผย อันนี้เป็นหลักปรองดองที่ทั่วโลกใช้กัน ความจริงที่หากันกลางเวทีสาธารณะไม่มีใครเขาทำกัน
นายวัฒนา กล่าวด้วยว่า กระบวนการค้นหาความจริงมีอยู่แล้ว และดูว่าความจริงอะไรที่เปิดเผยแล้วเป็นประโยชน์ต่อการปรองดอง และการปรองดองที่กำลังทำ ไม่ต้องการฟอกความผิดให้ใคร สิ่งที่กำลังทำคือเอาเส้นของความถูกต้องไปขีดกับมัน ถนนที่นำไปสู่ความปรองดองต้องปูด้วยหลักนิติธรรม
นายคำนูณ กล่าวว่า ใครอยู่เบื้องหลังไม่เป็นประเด็นเท่ากับเหตุผล 4 ประการ ที่ใช้อ้างในการปฏิวัติเพราะเกี่ยวเนื่องกับการปรองดอง ตอนนี้ไม่พูดถึงเหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน 2549 กันเลย ถ้าจะปรองดองทุกฝ่ายต้องพูดถึงทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร ว่าอะไรดีอะไรเสีย แล้วแก้ที่ตรงนั้น
ต้องบอกว่าบ้านเมืองก่อนรัฐประหาร ไม่ได้ว่าดีเลิศ ถ้าทุกฝ่ายยอมรับกันในประเด็นนี้ ยอมรับความผิดของตัวเอง และมุ่งไปข้างหน้า ปรองดองถึงจะเกิดได้
พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า ต้องพูดซ้ำว่าพล.อ.เปรม ติณศูลานนท์ ไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ทั้งสภาพแวดล้อมและบุคคลที่น่าเชื่อถือยืนยันได้ ส่วนทำไมพล.อ.สนธิ ไม่ตอบคำถามแบบที่เคยตอบ ตนมองว่าแค่ตอบไม่ชัดเจนเท่ากับในอดีต แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าพล.อ.เปรมเกี่ยวข้อง
พล.ต.ต.ธวัช กล่าวว่า สิ่งต่างๆที่กล่าวหาในการปฏิวัติ เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้พิสูจน์เลยว่าเหตุผลที่ใช้ในการปฎิวัติเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายชัดเจน ก่อนปฏิวัติมีการมองว่าประชาชนด้อยการศึกษาไม่มีความรู้ แต่พอหลังปฏิวัติชี้ชัดเลยว่าประชาชนไม่ได้โง่ เมื่อมีโอกาสแสดงออก จึงขึ้นมาเรียกร้องสิทธิต่างๆ จนเป็นเหตุของการแตกแยก
เมื่อถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าการปฏิวัติไม่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับรู้ด้วย พล.ต.ต.ธวัช ตอบว่า ประชาชนรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ขึ้นกับว่าจะยอมรับความจริงหรือไม่ยอมรับความจริง
น.ส.รสนา กล่าวว่า ตนไม่สนใจว่าใครอยู่เบื้องหลัง กระบวนการปรองดองพยายามทำให้ว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล แต่ที่จริงแล้วเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น แล้วจุดแตกหักคือการขายหุ้นให้เทมาเส็ก จนประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน และเกิดลักษณะล่อแหลมว่าจะมีการปราบปรามประชาชน ตนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ถ้าวันนั้นไม่เกิดรัฐประหาร เชื่อว่าประชาชนจะเติบโต และไม่แบ่งเป็นฝักฝ่ายแบบทุกวันนี้
นายสมชาย กล่าวว่า จำเป็นที่จะต้องค้นหาความจริง เพราะหลัง 19 กันยายน ทัศนะของคนต่างกันมาก แต่แทนที่จะคิดว่าใครอยู่เบื้องหลัง ควรพิจารณาสาเหตุรัฐประหารและผลของมันมากกว่า ถ้าทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันมีความเข้าใจตรงนี้ตรงกัน ก็จะก้าวไปข้างหน้าได้ มากกว่าที่ไปขุดคุ้ยว่าใครอยู่เบื้องหลัง เพราะรัฐประหารเป็นกระบวนการทางการเมือง ตัวบุคคลไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าไหร่
ผู้ดำเนินรายการ ถามว่า คำถามที่พล.ต.สนั่น ถาม พล.อ.สนธิ อาจเชื่อมโยงไปยังสถาบันฯ ถ้าเคลียร์ไม่ได้ในประเด็นนี้ จะเดินต่อไม่ได้หรือไม่
นายสมชาย กล่าวว่า การโฆษณาทางการเมือง ส่วนใหญ่มักหยิบประเด็นบางประเด็นมาเท่านั้น แม้ได้คำตอบ ก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง สังคมไทยปัจจุบันติดกับเรื่องวาทกรรม ติดกับวังวนโฆษณาทางการเมือง
น.ส.รสนา กล่าวว่า การรัฐประหารทุกครั้ง ข้ออ้างที่ถูกนำมาใช้คือทุจริตคอร์รัปชั่น แล้วตนก็เห็นว่าการปฏิวัติไม่สามารถแก้การคอร์รัปชั่นได้ ควรเปิดให้ประชาชนได้เติบโต แต่ถ้ารัฐบาลผูกขาดอำนาจมากเกินไป อย่างช่วงสมัยไทยรักไทย ประชาชนก็จะรู้สึกมีความเสี่ยง ไม่มีปากมีเสียง อำนาจต่อรองน้อย ก็เลยหวังให้ทหารออกมาปฏิวัติ ตนเชื่อด้วยว่า ถ้าปี 49 ไม่มีรัฐประหาร ประชาชนจะเติบโตกว่านี้ แต่นี่ทำบ้านเมืองถอยหลัง และทำให้เกิดการแตกแยก
แต่ก็ไม่ใช่คมช.อย่างเดียว สิ่งที่ไม่หยุดเพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่หยุด ไม่ใช่ให้นักการเมืองมาปรองดองกับอำมาตย์ ความจริงแล้วรัฐบาลได้เสียงข้างมากก็ทำงานไปไม่เกิดปัญหา แต่ที่เกิดปัญหาเพราะต้องการปลดล็อคให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา รีบร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ รีบเอารายงานกรรมาธิการปรองดองเข้ามา เป็นเรื่องพยายามลักไก่เข้ามาเสนอให้นิติบัญญัติ สิ่งเหล่านี้สังคมจึงไม่ไว้วางใจ
นายวัฒนา กล่าวแย้งว่า รัฐบาลไม่ได้รีบร้อน แต่เป็นไปตามกระบวนการปกติ มีกรรมาธิการปรองดอง เมื่อทำรายงานเสร็จก็ต้องรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร แล้วการรายงานได้ต้องขออนุญาตรัฐสภา บังเอิญมีการประชุมพอดีก็เลยมาขออนุญาต ส่วนจะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม รัฐบาลทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีเสียงต่ำกว่ากึ่งหนึ่งในที่ประชุม
วันนี้ควรมาช่วยกันวางกติกาให้ประเทศ โดยการแก้รัฐธรรมนูญคือคำตอบ ต้องยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้ไม่ได้ที่สุดของโลก สิ่งที่ต้องการเห็นคือ ดุลยภาพของทั้ง 3 องค์กร (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ) เมื่อเกิดดุลยภาพ องค์กรเหล่านี้ก็จะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง แน่นอนกติกาที่ทำไว้มีคนได้ประโยชน์ แล้วพยายามขัดขวางไม่ให้ไปสู่ความเป็นกลาง
บ้านเมืองจะปรองดองได้ ต้องเอาความถูกต้องใส่กับมัน โดยใช้สายตาประชาคมโลกตัดสินว่าอันไหนถูกหรือไม่ถูก แล้วเอาความถูกต้องขีด ย้ำว่าไม่ต้องการช่วยใคร แค่ต้องการความถูกต้อง