อดีตประธาน สนช.หยันวิจัย ส.ปกเกล้า “กะเทาะไม่ถึงแก่น” ยันแม้รู้ตัวคนอยู่เบื้องหลังปฏิวัติก็ไม่ใช่หนทางสู่ความปรองดอง ชี้ต้องกำจัดที่ต้นเหตุความขัดแย้ง เหน็บ “เสธ.หนั่น” แจงใครอยู่เบื้องหลังปฏิวัติปี 2520 แย้มคณะ กมธ.ปรองดอง คนของทักษิณเกินครึ่ง ฟันธงหากชงเข้าสภาเรื่องใหญ่แน่
วันนี้ (22 มี.ค.) น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า ที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางเพื่อความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ปรองดองฯ) ว่า รายงานวิจัยชิ้นนี้เป็นของคนกลุ่มหนึ่งในสถาบันพระปกเกล้า ที่วิจัยเอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวบุคคล มากกว่าที่จะเอื้อประโยชน์ในทางวิชาการต่อส่วนรวม และตนก็ไม่เห็นว่าการวิจัยดังกล่าวจะวิจัยได้ถึงต้นตอที่ทำให้เกิดความขัดแย้งจริงๆ ซึ่งการที่ กมธ.ปรองดองฯ รับลูกกันมา ทำให้สงสัยว่าได้มีการประสานงานและวางทิศทางกันมาก่อนแล้ว โดยมองว่าหากจะปรองดองจริงๆ ต้องไปดูที่รากเหง้าของปัญหา หากมาดูที่ปลายเหตุ และบอกให้เลิกรากันไปแบบนี้ ความขัดแย้งก็อาจจะยุติกันไปแบบชั่วคราว
“การวิจัยในลักษณะให้มีการนิรโทษกรรม โดยยกเลิกการพิจารณาของ คตส. มันคือสิ่งที่เลวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะ คตส.ทำงานแบบอัยการ มีหน้าที่ตรวจสอบ ดำเนินการตามขั้นตอน แล้วไปตัดสินกันที่ศาล ผมจึงคิดว่าผลการวิจัยอย่างนี้คือการเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพียงคนเดียว” น.ต.ประสงค์กล่าว
ส่วนกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เรียกร้องให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เปิดเผยคนอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 19 ก.ย.49 ว่า หากตนอยู่ในการเสวนาเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ตนเป็น พล.อ.สนธิ หรืออยู่ในสถานที่เดียวกันเวลานั้น ตนจะถาม พล.ต.สนั่นกลับว่า แล้วที่ พล.ต.สนั่นเคยร่วมขบวนปฏิวัติกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ เมื่อปี 2520 ต้องตอบมาก่อนว่าใครคือคนอยู่เบื้องหลังของการปฏิวัติในครั้งนั้น ตนถึงจะตอบคำถามให้ฟัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.สนั่นระบุว่า ถ้าบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติการปรองดองจะเกิดขึ้น น.ต.ประสงค์กล่าวว่า ตนบอกได้แต่เพียงว่า หากต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งไม่ได้ถูกกระทำให้มันหมดไป การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ การเลิกรากันไปเฉยๆ มันเป็นไปไม่ได้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ต้องการการปรองดองแบบนี้
เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เปลี่ยนไปหลังจากเป็นผู้นำการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 น.ต.ประสงค์กล่าวว่า ตนไม่ได้มองที่ตัวบุคคล แต่มองวิธีการทำงานของกมธ.ปรองดอง ซึ่งดูตัวบุคคลที่ประกอบกันเป็นกรรมการแล้ว เกินครึ่งเป็นคนในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งนั้น ถ้าลงมติก็สู้เสียงส่วนใหญ่ไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่าหากรายวิจัยดังกล่าวผ่านไปในชั้นสภาแล้วมีการลงมติจะยิ่งสร้างความขัดแย้งให้หนักขึ้นกว่าเดิม