แปลกแต่จริง พท.กลับลำไม่สนใจใครอยู่เบื้องหลัง “พล.อ.สนธิ” ยึดอำนาจ “ทักษิณ” อ้างไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บ เชื่อในความเป็นชายชาติทหาร อุ้ม “บิ๊กบัง” ลุยช่วยนายใหญ่ เหน็บ “อภิสิทธิ์” ผู้นำเด็กดื้อ ทำทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องดีๆ
วันนี้ (22 มี.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางปรองดองแห่งชาติ ไม่ยอมเปิดเผยถึงผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติที่ผ่านมาในระหว่างการเสวนาเรื่อง “รายงานการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า” เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่า ตนมองว่าไม่ควรจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะ พล.อ.สนธิ เองก็ยืนยันแล้วว่า แม้ตายก็ตอบไม่ได้ ดังนั้น ควรมองไปข้างหน้าดีกว่าว่า จะสร้างความปรองดองได้อย่างไร
ทั้งนี้ ตนมองว่า ขณะนี้กรรมาธิการเดินมาถูกทางแล้ว และ พล.อ.สนธิ เป็นชายชาติทหาร ที่เมื่อก่ออะไรไว้ท่านก็มาแก้ไข ดังนั้น จึงไม่ควรไปกดดัน วันนี้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตมาแล้ว จึงควรเริ่มต้นสิ่งดีๆ กันใหม่ โดยพูดดีและทำดี เพื่อประชาชนและช่วยกันขับเคลื่อนให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ซึ่งตรงนี้จะเป็นการป้องกันการปฏิวัติได้ดีที่สุดในอนาคต
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิ ชี้แจงเหตุผลในการทำการปฏิวัตินั้น ตนมองว่า เรื่องนี้ก็ไม่ควรไปกดดัน พล.อ.สนธิ เพราะเมื่อครั้งที่ นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น ตนอยากถามว่า ทำไมนายอภิสิทธิ์ จึงไม่ถาม พล.อ.สนธิ ตั้งแต่ตอนที่ทำการปฏิวัติใหม่ๆ หรือว่าขณะนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ประโยชน์จึงไม่ถาม เมื่อวันนี้เป็นฝ่ายค้าน จึงน่าจะสร้างภาพความเป็นนักประชาธิปไตย ออกมาเรียกร้องให้ชี้แจงสาเหตุของการปฏิวัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกแต่จริงว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน คนก็เปลี่ยน
“วันนี้ผมจึงเริ่มคล้อยตามกับฉายาที่นายอภิสิทธิ์ ถูกตั้งให้เป็นผู้นำเด็กดื้อ เพราะค้านทุกเรื่อง ทั้งที่คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เหมือนมีอะไรมาปิดบังดวงตาทำให้มองไม่เห็นธรรมว่า ประชาธิปไตยนั้น ต้องฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้เริ่มให้มีการศึกษาเรื่องความปรองดอง แต่เมื่อถึงเวลาปรองดองจริงๆ กลับคัดค้านและไม่เห็นด้วย ดังนั้น อยากให้นายอภิสิทธิ์ทบทวนด้วย ถ้าคิดผิดก็ขอให้คิดใหม่”
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ นายอภิสิทธิ์ ขู่จะฟ้องกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และรัฐบาล หากทำให้คดีเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปหมดอายุความ โดยไม่มีการเก็บภาษี ว่า สมัยที่ นายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลก็ใช้นโยบายในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนประเทศเพื่อนบ้านเอือมระอา เปรียบเสมือนจะจับหนูตัวเดียวแต่เผาบ้านทิ้งทั้งหลัง จนความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหา งานหลักของรัฐบาลในขณะนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมุ่งที่จะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณทุกวิถีทาง วันนี้เมื่อเป็นฝ่ายค้านแต่เก่าก็ยังไม่หาย เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลทำเต็มที่แล้วแต่ก็ทำไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ ขณะนี้จึงทำได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องดีๆ ที่ไม่ยอมทำเสียที ทั้งนี้ อยากแนะนำนายอภิสิทธิ์ว่า ไปเข้าวัดฟังธรรมบ้าง การทำงานทางการเมืองจะได้ดีขึ้น จะได้ไม่ค้านสะเปะสะปะ ไม่มีสาระอะไรให้กับประชาชนอีก
