กรมทางหลวง เผย สถิติอุบัติเหตุประจำเดือน ก.พ.เพิ่มจากปี 54 ประมาณ 5% เผยสาเหตุ ขับรถเร็ว และปัญหาหมอกควัน ส่งผลต่อทัศนวิสัยการมองเห็น
วันนี้ (15 มี.ค.) นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศจากรายงานอุบัติเหตุทางระบบ TRAMS ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2555 พบว่า มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางหลวง จำนวน 303 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 77 คน (เฉลี่ย 3 คน/วัน) ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 285 คน (เฉลี่ย 10 คน/วัน) แยกเป็นบาดเจ็บสาหัส 108 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 177 คน จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุ 392 คัน อุบัติเหตุดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน 14,140,319 บาท โดยเป็นทรัพย์สินของกรมทางหลวง 5,825,519 บาท
โดยเมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางหลวงในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 พบว่า ในภาพรวมจำนวนอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5 ส่วนผู้เสียชีวิตลดลง ร้อยละ 5 ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บลดลง ร้อยละ 30 และจำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 ซึ่งอัตราอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องมาจากสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน และการเกิดหมอกควันและไฟป่าในหลายพื้นทางภาคเหนือ ซึ่งส่งผลต่อทัศนวิสัยในการการขับขี่ และการมองเห็น
และจากสถิติข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวง พบว่า สาเหตุมาจากการขับขี่รถด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ร้อยละ 60.40 ของอุบัติเหตุทั้งหมด (183 ครั้ง) รองลงมาคือ การตัดหน้าระยะกระชั้นชิด ร้อยละ 5.28 และหลับใน ร้อยละ 3.30 ซึ่งจากสถิติถือว่าการขับขี่รถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด และความประมาท เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ทั้งยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุในทุกเดือนและทุกเทศกาล ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวงของรถทุกประเภท จึงเป็นมาตรการแก้ไขเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุของผู้ใช้รถใช้ถนน สำหรับมาตรการระยะยาว คือ
การศึกษาวิจัยความเร็วยานพาหนะที่ปลอดภัยในการขับขี่แต่ละประเภทรถ และทางหลวง รวมทั้งการจำกัดความเร็วเฉพาะบริเวณ ในช่วงที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน และในช่วงเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ และ สงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากทุกปี
สำหรับอุบัติเหตุในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง ร้อยละ 57.76 ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (175 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่ ทางโค้งปกติ ร้อยละ 16.83 (51 ครั้ง) ทางแยกระดับเดียวกัน ร้อยละ 8.58 (26 ครั้ง) และจุดเปิดเกาะกลางถนน ร้อยละ 7.92 (24 ครั้ง) ซึ่งอุบัติเหตุโดยส่วนใหญ่เกิดในเวลากลางวัน (06.00-18.00 น.) คือ ร้อยละ 59.08 ทั้งนี้ เป็นอุบัติเหตุจากรถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ ร้อยละ 27.81 ของจำนวนรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (109 คัน) รองลงมา ได้แก่ รถยนต์นั่ง ร้อยละ 24.74 (97 คัน) และรถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) ร้อยละ 11.99 (47 คัน)
หากจำแนกเส้นทางการเกิดอุบัติเหตุเป็นรายภาค พบว่า เส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เส้นทางในพื้นที่ภาคเหนือ เกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 37.96 ของจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (65 ครั้ง) รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ร้อยละ 16.83 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 15.51 ภาคใต้ ร้อยละ 16.83 ภาคตะวันออก ร้อยละ 15.18 ภาคกลาง ร้อยละ 8.91 และภาคตะวันตก ร้อยละ 5.28
สำหรับการจำแนกการเกิดอุบัติเหตุตามประเภททางหลวง สรุปได้คือ อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบนทางหลวงที่มีหมายเลข 1 หลัก (เช่น ทางหลวงหมายเลข 9 คลองระพีพัฒน์ - ลำลูกกา) ร้อยละ 37.96 ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (115 ครั้ง) รองลงมาคือ ทางหลวง ที่มีหมายเลข 3 หลัก ร้อยละ 27.72 ทางหลวงที่มีหมายเลข 2 หลัก ร้อยละ 17.49 และทางหลวงที่มีหมายเลข 4 หลัก ร้อยละ 16.83
วันนี้ (15 มี.ค.) นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศจากรายงานอุบัติเหตุทางระบบ TRAMS ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2555 พบว่า มีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางหลวง จำนวน 303 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 77 คน (เฉลี่ย 3 คน/วัน) ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 285 คน (เฉลี่ย 10 คน/วัน) แยกเป็นบาดเจ็บสาหัส 108 คน บาดเจ็บเล็กน้อย 177 คน จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุ 392 คัน อุบัติเหตุดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน 14,140,319 บาท โดยเป็นทรัพย์สินของกรมทางหลวง 5,825,519 บาท
โดยเมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางหลวงในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 พบว่า ในภาพรวมจำนวนอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5 ส่วนผู้เสียชีวิตลดลง ร้อยละ 5 ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บลดลง ร้อยละ 30 และจำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 ซึ่งอัตราอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องมาจากสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน และการเกิดหมอกควันและไฟป่าในหลายพื้นทางภาคเหนือ ซึ่งส่งผลต่อทัศนวิสัยในการการขับขี่ และการมองเห็น
และจากสถิติข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวง พบว่า สาเหตุมาจากการขับขี่รถด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ร้อยละ 60.40 ของอุบัติเหตุทั้งหมด (183 ครั้ง) รองลงมาคือ การตัดหน้าระยะกระชั้นชิด ร้อยละ 5.28 และหลับใน ร้อยละ 3.30 ซึ่งจากสถิติถือว่าการขับขี่รถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด และความประมาท เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ทั้งยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุในทุกเดือนและทุกเทศกาล ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวงของรถทุกประเภท จึงเป็นมาตรการแก้ไขเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุของผู้ใช้รถใช้ถนน สำหรับมาตรการระยะยาว คือ
การศึกษาวิจัยความเร็วยานพาหนะที่ปลอดภัยในการขับขี่แต่ละประเภทรถ และทางหลวง รวมทั้งการจำกัดความเร็วเฉพาะบริเวณ ในช่วงที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน และในช่วงเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ และ สงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากทุกปี
สำหรับอุบัติเหตุในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง ร้อยละ 57.76 ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (175 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่ ทางโค้งปกติ ร้อยละ 16.83 (51 ครั้ง) ทางแยกระดับเดียวกัน ร้อยละ 8.58 (26 ครั้ง) และจุดเปิดเกาะกลางถนน ร้อยละ 7.92 (24 ครั้ง) ซึ่งอุบัติเหตุโดยส่วนใหญ่เกิดในเวลากลางวัน (06.00-18.00 น.) คือ ร้อยละ 59.08 ทั้งนี้ เป็นอุบัติเหตุจากรถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ ร้อยละ 27.81 ของจำนวนรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (109 คัน) รองลงมา ได้แก่ รถยนต์นั่ง ร้อยละ 24.74 (97 คัน) และรถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) ร้อยละ 11.99 (47 คัน)
หากจำแนกเส้นทางการเกิดอุบัติเหตุเป็นรายภาค พบว่า เส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เส้นทางในพื้นที่ภาคเหนือ เกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 37.96 ของจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (65 ครั้ง) รองลงมาคือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ร้อยละ 16.83 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 15.51 ภาคใต้ ร้อยละ 16.83 ภาคตะวันออก ร้อยละ 15.18 ภาคกลาง ร้อยละ 8.91 และภาคตะวันตก ร้อยละ 5.28
สำหรับการจำแนกการเกิดอุบัติเหตุตามประเภททางหลวง สรุปได้คือ อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบนทางหลวงที่มีหมายเลข 1 หลัก (เช่น ทางหลวงหมายเลข 9 คลองระพีพัฒน์ - ลำลูกกา) ร้อยละ 37.96 ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด (115 ครั้ง) รองลงมาคือ ทางหลวง ที่มีหมายเลข 3 หลัก ร้อยละ 27.72 ทางหลวงที่มีหมายเลข 2 หลัก ร้อยละ 17.49 และทางหลวงที่มีหมายเลข 4 หลัก ร้อยละ 16.83
