xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชี้ “สนธิ” ใจนักเลง เสียสละสู้คดีเอ็มกรุ๊ป เทียบ “ทักษิณ” ไม่ยอมรับผิด-ยึดติดอำนาจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (แฟ้มภาพ)
โฆษกพันธมิตรฯ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แจงคดีสนธิรับรองเอกสารเอ็มกรุ๊ป ค้ำประกันเงินกู้แบงก์กรุงไทยเป็นคดีเก่า ก่อนขึ้นเวทีสนามหลวงปี 49 ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเรื่องอดีตได้ ชี้ ไม่ได้จัดทำเอกสารโดยตรง แต่ก็ยอมรับในฐานะคนลงนามเอกสาร แต่ยังมีข้อต่อสู้หลายประเด็นในชั้นอุทธรณ์ เทียบกับทักษิณไม่เคยรับสารภาพผิด ตะแบงให้ตัวเองพ้นผิด ด่ากระบวนการยุติธรรม ยึดติดผลประโยชน์และอำนาจ อยากล้างความผิดให้ตัวเอง เผย มีนักการเมืองเสนอเป่าคดี-ซื้อเอเอสทีวี เพื่อปิดปาก แต่สนธิเลือกต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ยอมขายทรัพย์สินเลือดตาแทบกระเด็น แต่ไม่เสียใจเพราะมีศรัทธาจากประชาชน

วันนี้ (29 ก.พ.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ในหัวข้อ “จากใจและบทเรียนในคดีของสนธิ ลิ้มทองกุล โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” กรณีที่วานนี้ (28 ก.พ.) ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 20 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ จากกรณีการกระทำเมื่อครั้งเป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในปี 2539 โดยระบุว่า บทเรียนจากคดีเอ็มกรุ๊ป ที่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สารภาพและโดนศาลอาญาจำคุก 85 ปี แต่กฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 20 ปี ดังนี้

1.ลักษณะคดีนี้เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2538 เป็นคดีเก่าที่เกิดขึ้นก่อนจะกราบขอโทษประชาชนที่เวทีสนามหลวง ตั้งแต่ปี 2549 ว่า เคยทำเรื่องทั้งดีและไม่ดีในอดีต และจะขอใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชาติและประชาชน ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเรื่องอดีตได้ และเกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นผู้นำมวลชน ดังนั้น จึงเชื่อว่า มวลชนส่วนใหญ่เข้าใจในประเด็นนี้ชัดเจนอยู่แล้ว

ในประเด็นนี้ต่างจากนักการเมืองโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ความผิดในอดีตจะเปลี่ยนไม่ได้เช่นกัน แต่ทักษิณกลับไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเองทำตัวให้ดีขึ้น เพื่อชดใช้ความผิดของตัวเองที่ได้กระทำเอาไว้

2.ภาวะความเป็นผู้นำ แม้ในทางปฏิบัติ คุณสนธิจะไม่ได้เป็นคนจัดทำเอกสารโดยตรงในการเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันบริษัทนอกตลาด โดยไม่ได้รายงานแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ อันเป็นการกระทำที่ผิดต่อ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธในฐานะคนลงนามในเอกสารในฐานะผู้นำองค์กรได้ คุณสนธิตัดสินใจกันกรรมการบริษัทคนอื่นๆ ออกจากคดี โดยการรับสารภาพในคดีนี้ไว้เสียเอง โดยไม่ต้องตะแบง หรือปฏิเสธข้อหาลากคดีให้ยืดเยื้อออกไป (ซึ่งหากจะเลือกหนทางนั้นก็ย่อมทำได้)

ในประเด็นนี้ต่างจากนักการเมืองโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ ทักษิณ ชินวัตร นักการเมืองอื่นๆ ที่ไม่เคยมีใครสารภาพความผิดของตัวเอง พยายามใช้เล่ห์ทางกฎหมายเพื่อตะแบง หรือลากยาวเพื่อให้ตัวเองมีอิสรภาพให้นานที่สุด

3.การต่อสู้คดีความ แม้ว่า คุณสนธิ จะสารภาพในคดีความ แต่ในข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาอ้างเหตุมาลงโทษนั้นยังมีข้อต่อสู้อยู่อีกหลายประเด็น เช่น ประเด็นที่ธนาคารกรุงไทยได้ไปให้การว่าธนาคารไม่เสียหายในการปล่อยกู้ (เหตุเพราะมีหลักทรัพย์เกินจำนวนและมีการชำระหนี้ด้วย) และไม่ได้มีโจทก์ร่วมอื่นที่แสดงตนว่าเกิดความเสียหาย แต่ศาลอาญาพิพากษาว่าไม่เชื่อว่า ธนาคารไม่เสียหาย แต่ในท้ายที่สุดศาลกลับไม่พิพากษาให้มีค่าปรับแต่ประการใด และศาลอาญามีการเปลี่ยนคณะองค์พิพากษา แต่เมื่อทนายทักท้วงศาลอาญากลับบอกว่าเป็นความหลงผิดแต่ไม่ได้ทำผิด ฯลฯ ดังนั้น แม้สารภาพแล้วแต่ก็ยังมีข้อต่อสู้ในเฉพาะบทลงโทษที่เกิดขึ้นในชั้นอุทธรณ์ต่อไป

ในประเด็นนี้ คุณสนธิ โดนลงโทษสถานหนักถึง 85 ปี (ยิ่งกว่าคดีฆาตกรรมหรือยาเสพติดในหลายคดี) แต่เมื่อคุณสนธิสารภาพศาลจึงลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง คือ 42 ปี แต่กฎหมายให้ลงโทษได้แค่ 20 ปี ดังนั้น ความจริงการสารภาพไม่ได้มีผลต่อการได้รับโทษต่ำกว่า 20 ปีได้เลย (ตามคำพิพากษาของศ่ลอาญา) แต่คุณสนธิกลับเลือกหนทางนี้

หากเทียบกับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทักษิณไม่เคยสารภาพผิด จึงโดนโทษจำคุก 2 ปี ความจริงหากสารภาพผิด หรือสำนึกผิด และประพฤติตัวดี ก็มีโอกาสที่จะได้ลดโทษลง หรือได้รับการอภัยโทษร่วมด้วยกับนักโทษคนอื่นๆ ในครรลองที่ถูกต้องต่อไป และอาจติดอยู่ไม่นาน ซึ่งสถานภาพดีกว่าคุณสนธิ หลายเท่าทวีคูณที่ถูกพิพากษามากกว่าทักษิณถึง 10 เท่าตัว แต่ทักษิณกลับเลือกหนทาง ไม่ยอมรับผิด ไม่สารภาพ ไม่สำนึกผิด และด่ากระบวนการยุติธรรมไทยแทน

4.ความเป็นใจนักเลง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมามีนักการเมืองหลายยุคแสดงตนออกมาจะช่วยเหลือในการ “เป่าคดี” นี้ เพื่อแลกกับการที่คุณสนธิ หยุดโจมตีรัฐบาล แต่เมื่อคุณสนธิตัดสินใจเดินหน้าตรวจสอบและชนทั้งรัฐบาลชวน 2 และรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลทุกยุคจึงสานต่อคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง เงินที่เป็นเงินกู้มาก็นำมาเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กรในยามที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (เหมือนกับองค์กรอื่นๆ ที่ต้องมีการปลด ลดพนักงาน จ่ายเงินเดือนช้า จนถึงขั้นจ่ายเงินเดือนไม่ได้มาแล้ว)

ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา มีนักการเมืองนอกจากจะมีข้อเสนอให้เป่าคดีอาญาแล้ว ยังมีนักการเมืองเสนอจะช่วยเคลียร์ล้างหนี้ทั้งหมด เพื่อแลกกับการหยุดโจมตีรัฐบาล และมีข้อเสนอที่จะซื้อ ASTV ด้วยจำนวนเงินมหาศาลที่จะทำให้คุณสนธิกลับมาเป็นมหาเศรษฐีได้ แม้แต่การตรวจสอบรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่จะทำให้สูญเสียมวลชน สูญเสียเงินบริจาค สูญเสียลูกค้าในการซื้อสินค้า ASTV Shop แม้แต่การตรวจสอบรัฐวิสาหกิจหลายแห่งแบบไม่ถอยไม่หยุดจนเขาต้องหยุดโฆษณา หยุดซื้อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่คุณสนธิก็เลือกที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้องตรวจสอบความผิดของนักการเมือง ข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ เหล่านั้นทุกยุคต่อไป

ส่วนคนบางกลุ่มที่กล่าวว่า พันธมิตรฯสู้แล้วรวยนั้น หรือชุมนุมเพื่อหาเงินบริจาคนั้น คุณสนธิก็เป็นผู้เสนอให้ตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อให้มีการบริหารที่เป็นรูปองค์กรที่มีกระบวนการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส และเป็นผู้เสนอให้เปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ (เป็นการสร้างมาตรฐานสูงกว่ากฎหมายและยังคงเป็นองค์กรที่มีการชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยเปิดเผยบัญชีดังกล่าว) และแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครได้เงินเดือน หรือรายรับส่วนตัวจากเงินบริจาคดังกล่าว แม้ในยามวิกฤติที่สุดที่ไม่เงินจ่ายเงินเดือนหรือจ่ายค่าดาวเทียมจน ASTV จอดับ ก็ไม่เคยนำเงินบริจาคดังกล่าวมาจ่ายเงินเดือนของพนักงานบริษัทหรือมาใช้ประโยชน์ส่วนตนแต่ประการใด

ความจริงเงินบริจาคที่มาจุนเจือช่วยเหลือ และค้ำยัน ASTV นั้น ยังน้อยกว่าการหาเงินส่วนตัวจากคุณสนธิมาลงให้กับ ASTV เฉลี่ยเดือนละ 20 ล้านบาท สิ่งที่ คุณสนธิ ได้ทำ คือ เอารายได้จากหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ช่วยทีวี การนำทรัพย์สินของครอบครัวลิ้มทองกุลออกมาขาย กู้ยืมเงินจากคนอื่น ตามทวงหนี้จากเพื่อเก่าที่เคยขอยืมเงินคุณสนธิไปนานแล้ว และการเจรจากับผู้ลงโฆษณาในเว็บไซต์บางรายให้ช่วยจ่ายเงินล่วงหน้า ฯลฯ ดังนั้นถ้าคำนวณเงินคุณสนธิ ลิ้มทองกุลลงเงินกับ ASTV ไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท

ซึ่งถ้าคุณสนธิไม่เลือกหนทางในชีวิตแบบนี้คุณสนธิก็คงเป็นเศรษฐีรายใหญ่อีกคนหนึ่งในประเทศไทย และคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตก็คงจบลงด้วยดี คดีใหม่ก็คงไม่มีเหมือนกับทุกวันนี้

คุณสนธิ ในวันนี้ไม่ได้รวยเหมือนวันก่อน หาเงินมาจ่ายเงินเดือนชนต่อเดือนแบบเลือดตาแทบกระเด็น และบอกให้พวกเราทราบว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตคงไม่มีความสุขอะไร เพราะชีวิตยังคงยึดติดอยู่กับเงิน แต่วันนี้ยังมีความสุขกว่า เพราะตื่นขึ้นมามองกระจกแล้วไม่อายตัวเอง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน

ต่างจากทักษิณที่ทุกอย่างยังยึดติดอยู่ในผลประโยชน์และอำนาจ อยากล้างความผิดในอดีตให้กับตัวเอง อยากได้ทรัพย์สินคืน และอยากกระชับอำนาจให้กับพวกตัวเองซึ่งมีมากอยู่แล้วให้มีมากขึ้นไปอีก ซึ่งชีวิตแบบนี้มีแต่ความร้อนรุ่มไม่มีทางจะมีความสุขได้เลย

ด้วยเหตุผลเช่นนี้คนอย่าง พลตรี จำลอง ศรีเมือง คนดีมีศีลอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากขอบริจาคให้ใครมาก่อนตลอดชีวิต จึงยอมเอาตัวเองมารณรงค์ให้คนบริจาค ASTV อีกทั้งยังทำธุรกิจปุ๋ยชีวภาพเพื่อเอารายได้มาจุนเจือ ASTV จนถึงทุกวันนี้

5.คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อสู้เพื่อให้ทุกคนเคารพหลักนิติรัฐมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะรับโทษจำคุกหนัก แต่ก็เลือกหนทางที่จะรักษาหลักนิติรัฐ ยืดอกยอมรับสารภาพว่าตัวเองทำผิด แม้จะยังมีอีกหลายคดี ทั้งคดีการก่อการร้าย, คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, คดี พ.ร.บ.ความมั่นคง, คดีหมิ่นประมาท แม้ว่าคดีเหล่านี้จะสามารถจบลงได้ด้วยดีหากยอมจับมือปรองดองกับนักการเมืองหยุดตรวจสอบโจมตีรัฐบาลได้ในหลายยุคที้ผ่านมา แต่คุณสนธิก็เลือกใช้สิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และแม้ว่าในบางคดีจะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ได้รับความเมตตาจากผู้พิพากษที่เลือกข้างหรือเคยขึ้นเวทีเสื้อแดง แต่คุณสนธิกลับให้ความสำคัญมากกว่าในการรักษาระบบศาลภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นคุณสนธิจึงไม่เคยหลบหนีหมายของศาล ประกาศมาตลอดว่าเคารพในศาล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม

ต่างจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่ด่าศาล ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล (ทั้งๆ ที่ทนายทักษิณเคยเอาขนม 2 ล้านบาทไปให้ที่สำนักงานศาลยุติธรรมจนถูกโทษจำคุกมาแล้ว) เวลาศาลตัดสินเป็นคุณกับตัวเองก็บอกว่าตัดสินด้วยความเป็นธรรมแล้ว แต่เวลาศาลตัดสินเป็นโทษกับตัวเองกับพวกก็โวยวายกล่าวร้ายว่าศาลมีใบสั่งและอำมาตย์อยู่เบื้องหลัง ยอมทำทุกอย่างเพื่อล้างความผิดให้กับตัวเอง ทั้งการทำลายหลักนิติรัฐ มีขบวนการใช้มวลชนเสื้อแดงใช้กำลัง ใช้อาวุธสงคราม และใช้ไฟเผาบ้านเผาเมือง เพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจมาและทำลายกระบวนการยุติธรรมอยู่ในปัจจุบัน

คุณสนธิ ปีนี้อายุ 64 ปี ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาเยอะแล้ว มีทั้งการทำความผิด และทำในสิ่งที่ถูก แต่ที่คุณสนธิได้ประกาศขอโทษต่อพี่น้องประชาชนตั้งแต่ปี 2549 แล้วสัญญาว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชดใช้หนี้แผ่นดิน จะทำเพื่อชาติ และราชบัลลังก์ ความผิดในอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้การแสดงความสำนึกคือการยืออกรับสารภาพผิดและเคารพกระบวนการยุติธรรม หากคุณทักษิณรู้จักคำว่า "เสียสละ" ทำได้อย่างคุณสนธิ ประเทศชาติก็คงไม่วุ่นวายเช่นนี้

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล พูดให้ผมฟังว่า:

“ชีวิตคุณสนธิเดินมาถึงวันนี้ไม่เสียใจ เพราะการที่ได้รับความเมตตา กับศรัทธาจากพี่น้องประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าเกินกว่าสิ่งใดๆ ชีวิตคุณสนธิว่างเปล่า ชีวิตคุณสนธิตายได้เพื่อศรัทธาเหล่านี้ คุณสนธิจึงจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องเสียใจ

สิ่งที่มีค่าอีกประการหนึ่ง คือ ได้ร่วมงานกับเพื่อนพ้อง น้องพี่ ถ้าคุณสนธิมุ่งแต่จะแสวงหาความรวยอย่างเดียว ก็คงไม่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารักและมีความศรัทธาต่อการทำคุณงามความดี ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณสนธิไม่สู้แบบนี้เพื่อนร่วมงานเหล่านี้ก็คงก็ไม่มีเวทีเพื่อทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติและประชาชน และสุดท้ายคงเป็นผู้ที่ไร้จิตวิญญาณถูกพญามารครอบเอาตัวไปตามกระแสแห่งทุนสามานย์

2 สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำให้คุณสนธิมีกำลังใจไม่ถ้อถอย การโดนยิง 200 นัดแล้วรอดมาได้ได้เตือนสติคุณสนธิ ว่า ชีวิตมีความไม่แน่นอนต้องเร่งทำคุณความดีให้กับประเทศชาติให้มากที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่ ส่วนความผิดในอดีต คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้ และโทษที่ถูกจำคุกถึง 85 ปี ไม่ใช่เป็นการฉ้อโกงใคร และธุรกิจก็ล่มสลายไปพร้อมกับวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เมื่อเราทำผิดขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติก็ต้องยอมรับ และทำใจ ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม และต้องเข้มแข็ง เพื่อพี่น้องประชาชนไม่เสียกำลังใจ”

คนเรากระทำความผิดได้ แต่รู้สำนึกผิด ยอมยืดอกรับสารภาพผิด และพร้อมรับโทษ พร้อมกลับตัวแก้ไขมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นที่ประจักษ์แล้ว ย่อมน่านับถือมากกว่านักการเมืองเกือบทั้งหมดที่ไม่เคยรู้สำนึกผิด ไม่เคยสารภาพผิด ไม่เคยพร้อมรับโทษ ไม่เคยคิดกลับเนื้อกลับตัว และยังพยายามทำลายคนที่มาตัดสินตัวเองเสียอีก นักการเมืองเหล่านั้นสิ น่ารังเกียจหลายเท่านัก
กำลังโหลดความคิดเห็น