ผบ.ทบ.เผยมาเลย์แนะเอาชนะใจดับไฟใต้ ชี้ต้องสู้ด้วยสติ

“ผู้บัญชาการทหารบก” ยันแก้ปัญหาใต้ก้าวหน้ามาเป็นลำดับ เผยจับคนร้ายได้ตรึมแต่ไม่อยากเป็นข่าว ระบุมาเลย์คุย “ยิ่งลักษณ์” กรณีคน 2 สัญชาติและการก่อความรุนแรง หนุนแก้โดยสันติ แนะเอาชนะใจ รับมีทหารเกเรบ้างต้องคัดออก แต่ถ้าไม่มีแล้วจะอยู่กันอย่างไร ย้ำพวกป่วนหวังต่างชาติจุ้น ชี้ต้องสู้ด้วยสติ ไม่ใช่แค่จับโจรปล้นร้านทอง

วันนี้ (22 ก.พ.) ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ว่า การแก้ไขปัญหามีความก้าวหน้ามาตามลำดับ ที่ผ่านมาสามารถจับกุมคนก่อเหตุได้หลายคน แต่เราไม่อยากเสนอข่าวเพราะจะถูกมองว่าสถานการณ์รุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามกฎหมายทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้การปฎิบัติงานได้ผล คือ การใช้กฎหมายพิเศษในบางกรณี ทั้งนี้ การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประเทศมาเลเซียก็ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งในการแก้ปัญหาบุคคล 2 สัญชาติ รวมถึงการก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทย ถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ประเด็นสำคัญคือ การแก้ปัญหาโดยสันติ โดยทางมาเลเซียได้บอกว่าถ้าชนะการก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ win heart and mind คือ การเอาชนะด้วยจิตใจและหัวใจของชาวใต้ ซึ่งที่ผ่านมาทำอยู่แล้วคือการใช้แนวทางเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา

“การทำงานที่ผ่านมาขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ แต่การทำงานต้องมีข้อขัดข้องบ้างในเรื่องความไม่เข้าใจทางด้านการสื่อสาร แต่ทุกคนได้รับการฝึกมาดีพอสมควร เช่น ทหารพราน ทหารหลักไม่มีใครส่งกำลังพลไปโดยไม่ได้รับการฝึก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่ดี แต่ยอมรับมีอยู่บ้างที่ไม่ดีก็ต้องคัดออกไป เพราะมีทุกองค์กร ขอให้เห็นใจ ไม่ใช่เหมาร่วมว่าทหารลงไปแล้วไม่ดี ถ้าไม่มีทหารจะอยู่กันอย่างไร ทั้งๆ ที่ทหารลงไปดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน 2 ล้านคนใน 37 อำเภอ” ผู้บัญชาการทหารบกกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กลุ่มก่อเหตุไม่ต้องการนำกำลังมาตั้งด่านสู้กับทหาร เพียงแต่ต้องการลอบทำร้ายทหารไปเรื่อยๆ เพื่อกระพือข่าวให้สังคมโดยรวมและให้สากลเข้ามาเกี่ยวข้องดูแล มีตัวอย่างในประเทศข้างเคียง เราอย่าไปหลงทาง เราต้องใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีความเข้มแข็งการต่อสู้ทางความคิดต้องใช้เวลานาน เพราะเป็นการสู้ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่จับโจรปล้นร้านทอง วันสองวันจับได้ เราต่อสู้ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ เพราะถูกจับตามองในทุกๆ เรื่อง