“ส.ว.คำนูณ” ค้านรัฐบาลเก็บค่าธรรมเนียบแบงก์รัฐ 0.04% เข้ากองทุนพัฒนาประเทศ ทำรัฐสูญเสียรายได้ปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท ระบุเหมือนดักปล้นปากซอยก่อนเข้าคลัง ฉะรัฐบาลชอบสรรหานโยบายการคลังใต้ดินมาใช้ ทั้งที่ยังไม่มี กม.จัดตั้งกองทุนฯ ด้าน “ส.ว.สมชาย” ห่วงไทยอยู่ในสภาวะเสี่ยงเป็นประเทศก่อการร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 12 สมัยสามัญนิติบัญญัติ วันนี้ (20 ก.พ.) โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภาหารือ
โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือว่า ตนไม่เห็นด้วยกับนโยบายเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ รมว.คลัง ได้หารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ในการจะเก็บค่าธรรมเนียมธนาคารรัฐ 0.04% หากเทียบกับธนาคารพาณิชย์ 0.47% ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ที่จะนำไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟู แต่การเก็บจากธนาคารรัฐในครั้งนี้จะนำไปสมทบทุนกองทุนพัฒนาประเทศไทย ซึ่งยังไม่รู้ว่ากองทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์อะไร ตนเห็นว่าจะทำให้รายได้ของรัฐลดลงทันทีปีละ 15,000 ล้านบาท และจะทำให้รัฐต้องแบกรับภาระในการเพิ่มทุนธนาคารรัฐในอนาคต หากจะให้ธนาคารรัฐปฏิบัติภารกิจอย่างที่เคยเป็น เพราะขณะนี้มาตรฐานของธนาคารรัฐยังต่ำกว่าเกณฑ์ และประชาชนจะต้องรับภาระจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่จะต่ำลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น ธนาคารรัฐจะสูญเสียสถานการณ์ถ่วงดุลกับธนาคารพาณิชย์ทันที
“การทำข้อตกลงและประกาศต่อสาธารณะ โดยยังไม่มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาประเทศไทย และไม่มีกฎหมายแก้ไขกฎหมายการจัดตั้งธนาคารรัฐแต่ละแห่ง และจะไปเก็บค่าธรรมเนียม จะทำให้เกิดความสับสน รัฐบาลนี้ช่างสรรหานโยบายการคลังใต้ดินมาใช้ ถ้าธนาคารรัฐมีกำไรมากก็เข้างบประมาณแผ่นดินอยู่แล้ว แต่การไปดักเก็บจากธนาคารรัฐมาก่อน เป็นการใช้เงินนอกงบประมาณ เสมือนเป็นการดักปล้นปากซอยก่อนเข้าคลัง” นายคำนูณกล่าว
ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา หารือว่า ตนขอฝากไปยังรัฐมนตรีความมั่นคง ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสภาวะเสี่ยงที่เป็นดินแดนการก่อการร้าย หลายเรื่องทั้งกรณี FATF องค์กรระหว่างประเทศที่ประกาศขึ้นบัญชีดำประเทศไทย ให้เฝ้าระวังการทำธุรกรรมทางการเงิน ดังนั้นควรจะต้องรีบแก้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และในส่วนของเค้าลางความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา อิหร่าน และอิสราเอล ซึ่งอาจจะชักจูงประเทศไทยที่เป็นประเทศเสรีในเรื่องการเดินทาง นักท่องเที่ยวและ หย่อนยานเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยต่างๆ อาจจะตกเป็นเป้าหมายที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ได้
ส่วนเหตุระเบิดที่ซอยปรีดีสุขุมวิท 71เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นโชคดี แต่โชคดีจะเกิดขึ้นไม่บ่อย ซึ่งเรื่องนี้อาจมีการโยงใยเรื่องก่อการร้าย ที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โชคดีทุกครั้งที่เราสามารถแก้ไขได้ แต่ขณะนี้สถานการณ์อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ดังนั้นรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธานสภาความมั่งคง ต้องเร่งดำเนินการกำชับหน่วยข่าวกรองทั้งหมด และเร่งดำเนินการกวาดล้างพาสปอร์ตปลอม ชายแดน อาวุธสงคราม วัตถุประกอบระเบิด เป็นต้น และให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาระวังภัยก่อการร้ายที่จะเกิดขึ้น