โฆษก สตช.ยังไม่ชัดขอมือบึ้มข้ามแดนมาเลย์ได้เมื่อไหร่ เหตุต้องรอ พนง.สส.รวมหลักฐาน ด้านรองนายกฯ ขอดูสนธิสัญญา 2 ชาติส่งผู้ร้าย เร่งเช็กชายอีกคนในวงจรปิดอยู่ในไทยหรือไม่ ยังไม่ชัดบอมบ์ก่อการร้าย ย้ำสยามเป็นกลางยิว-เปอร์เซีย เผยเพิ่มตรวจตราเข้มงวด รับมีสารระเบิดเล็ดลอด ระบุ กต.เริ่มทบทวนขอวีซ่าเข้า ยันการข่าวมาตลอดแฝงตัวนักเที่ยว ลั่นไทยไม่ใช่แหล่งฟอกเงิน ไม่เชื่อโดนแบล็กลิสต์
วันนี้ (17 ก.พ.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อประสานขอตัวนายมาซุด เซดากัต ซาเดห์ อายุ 31 ปี ชาวอิหร่าน ผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมกันก่อเหตุระเบิดภายในซอยสุขุมวิท 71 เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากที่ทางการมาเลเซียจับกุมตัวได้ และภายหลังที่ศาลอนุมัติออกหมายจับเพื่อขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่ชัดได้ เนื่องจากจะต้องรอพนักงานสอบสวนเพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดก่อน ตลอดจนกระบวนการทางกฎหมายในการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นมีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจึงจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น ต้องขอเวลาให้พนักงานสอบสวนได้ทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้เวลา
ขณะที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 12.00 น. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ประเทศอิสราเอลระบุว่ากลุ่มคนร้ายมีเป้าหมายที่จะสังหารนักการทูตและบุคลากรชั้นนำคนสำคัญของอิสราเอลในไทยว่า เรื่องนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเร่งสอบสวนและชี้แจงเป็นขั้นตอนอยู่ ส่วนคนร้ายอีกหนึ่งคนที่ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าวที่ทราบจากการขยายผลออกมาแล้วนั้น จากภาพของซีซีทีวีที่จับได้พบว่ามีชายอีกคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังเร่งหาหลักฐานอยู่เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าชายคนดังกล่าวอาศัยอยู่ใน กทม.หรือไม่ รวมทั้งการจับกุมที่มาเลเซียด้วย ส่วนการขอให้ทางการมาเลเซียส่งตัวกลับผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในไทยนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูในสัญญาระหว่างสองประเทศก่อน เพราะไทยกับมาเลเซียไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุที่เกิดขึ้นในไทยนั้นมีความชัดเจนหรือไม่ว่าเป็นการก่อการร้ายที่อาจเชื่อมโยงกับการก่อเหตุที่ประเทศอินเดีย และประเทศจอร์เจีย พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจน เพราะกำลังสอบสวนอยู่ แต่ลักษณะของการดำเนินการนั้น ทางอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาก็ระบุว่าลักษณะคล้ายกับเหตุที่เกิดขึ้นในอินเดีย และจอร์เจีย เมื่อถามว่าทางการไทยจะมีหลักการในการดำเนินการสอบสวน และหาข้อยุติ เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุดหรือไม่อย่างไร พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า เราต้องรีบดำเนินการทุกอย่างให้เห็นภาพและมีความชัดเจน ซึ่งทางเรายังมีความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพราะไทยเป็นมิตรที่ดีกับทั้งสองฝ่าย คือ อิหร่านและอิสราเอล
เมื่อถามถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยของประเทศไทยในขณะนี้นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เรียกประชุมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทุกวัน และดำเนินมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ก็ค่อนข้างเข้มงวดในการตรวจตราทั้งสิ้น เพื่อแจ้งข่าวให้กับต่างประเทศทราบและเข้าใจถึงสถานการณ์ต่างๆในไทยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อถามว่า มาตรการการควบคุมสารตั้งต้น ในการทำระเบิดนั้น เป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า มีการตรวจสอบการนำเข้า และส่งออกอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีวิธีนำเข้า แบบรอดสายตาของฝ่ายตรวจสอบอยู่ดี ซึ่งตรงนี้ตนก็ไม่ขอระบุในรายละเอียด เมื่อถามว่าจะทบทวนการขอ Visa on Arrival หรือไม่นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ทางกระทรวงว่าการต่างประเทศเริ่มทบทวนแล้ว รวมทั้งการให้บริษัทท่องเที่ยวรับทำวีซ่าให้นักท่องเที่ยวอีก แต่ไทยนั้นเหมือนมีสองมือ คือ มือหนึ่งต้องเบรกและตรวจสอบ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ต้องให้นักท่องเที่ยวเข้ามาภายในประเทศด้วย
เมื่อถามว่า เหตุที่เกิดขึ้นสองครั้งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยังทำให้การข่าวของไทยไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ยอมรับว่าต่างประเทศเตือนหลายอย่าง เมื่อถามว่า ข้อมูลของไทยนั้น มีข้อมูลสมาชิกก่อการร้ายที่เข้ามาในประเทศหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ในโลกนี้มันมีทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในไทย เพราะไทยเป็นประเทศเสรี และต้องการนักท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมทำเงินเข้าประเทศ
ส่วนการแฝงตัวของผู้ก่อการร้ายในคราบนักท่องเที่ยวนั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ทางการข่าวนั้น มีการส่งข้อมูลตลอดว่าวันนี้จะมีบุคคลน่าสงสัยจากประเทศใดบ้าง ที่จะเข้ามาในประเทศได้บ้าง เมื่อถามว่า เครื่องมือการตรวจสอบข้อมูลคนร้ายระหว่างสนามบินของไทยนั้น ดูคล้ายว่าจะหย่อนยานและละหลวมใช้หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า หากเครื่องมือของไทยไม่ดีแล้ว จะจับคนร้ายคนที่สองที่สนามบินสุวรรณภูมิได้หรือไม่ ซึ่งจากนั้นสันติบาลก็ยังสามารถประสานงาน กับมาเลเซียจนทำให้ทราบว่ามีคนร้ายอีกหนึ่งคนกำลังเดินทางเข้า ซึ่งสามารถตรวจสอบและจับกุมได้ด้วยในภายหลัง จึงขอเรียนว่าความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียนั้น มีความร่วมมือกันเป็นอย่างดีระหว่างตำรวจกับสันติบาลของทั้งสองประเทศ
เมื่อถามว่า นานาชาติเตรียมขึ้นบัญชีดำว่าประเทศไทยเป็นประเทศแหล่งซ่อมสุมของผู้ก่อการร้าย และฟอกเงิน พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “ใครพูด ยังไม่มีคำเตือนแบบทางการออกมา ไทยไม่ใช่แหล่งฟอกเงิน เพราะตนทราบว่าประเทศใดเป็นแหล่งฟอกเงิน ไม่ใช่ไทยแน่ แต่ไทยเป็นทางผ่านเพราะผ่านง่ายและมีเสรี แม้มือหนึ่งเราเชิญนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ แต่อีกมือหนึ่งไทยก็ตรวจสอบแบบเข้มงวด และขอยืนยันไม่มีการขึ้นบัญชีดำในสองเรื่องนี้แน่”