xs
xsm
sm
md
lg

“เฉลิม” ยันไม่มีอำนาจสั่งจ่ายงบปราบยาฯ ปลื้ม “ชูวิทย์” ด่า แย้มจ่อฟ้องหมิ่นด้วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)
รองนายกฯ ปัดเบิก 27 ล้านใช้ปราบยาเสพติด ระบุรัฐตั้งงบรวมกว่า 9,000 ล้าน ใช้ไปแค่ 600 ล้านเอง สมเพชประชาธิปัตย์ด่าไม่ดูข้อมูล ยันไม่มีอำนาจสั่งจ่าย ลั่นสตางค์แดงเดียวก็ไม่เคยขอ โอ่ถ้าทำชั่วคงไม่มาถึงวันนี้ เล็งส่งหน่วยปราบยาสืบข่าวอาเซียน ดูงานออสซี่ ลั่นเสื้อแดงถ้าผิดก็จับแน่ เผยนายกฯ สั่งเน้นปมยาฯ-โกง จ่อแก้ กม.ยืดเวลาสอบโกง ขรก.เกษียณ ปรับคุณสมบัติผู้คุมคุก ปลื้มโดน “ชูวิทย์” ด่า สื่อจะได้รู้ไม่มีสัมพันธ์กัน แย้มส่งฝ่ายกม.ดูจ้อหมิ่นหรือไม่

วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.50 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เขียนข่าวไปเบิกเงินงบประมาณในการปราบยาเสพติด 27 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมด 76 ล้านบาทว่า ตนยืนยันว่าไม่มี ไม่จริง และงบในการปราบปรามยาเสพติดในปี 55 จำนวน 8 กระทรวง 11 หน่วยงาน 9,000 กว่าล้าน สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้ 2,200 ล้าน แต่เนื่องจากรัฐบาลนี้เข้ามายังไม่สามารถจัดทำงบได้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องใช้งบเก่าที่รัฐบาลที่แล้วตั้งไว้พลางไปก่อน ซึ่งใช้ได้เพียง 1,700 ล้าน และเขามีการเบิกมา 600 กว่าล้าน จึงแลดูว่าเบิกเยอะ เพราะเป็นพวกไม่ประสีประสางบประมาณ แต่ถ้าดูตามเปอร์เซ็นต์แล้วจาก 9,000 ล้าน เบิกมา 600 กว่าล้านนั้นแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ ตามที่กรมบัญชีกลางที่มีการตั้งเกณฑ์ไว้ การเบิกเงินงบประมาณไตรมาสหนึ่งให้เบิกได้ 20 เปอร์เซนต์

“ผมสงสารพรรคประชาธิปัตย์ แถมสมเพชด้วยซ้ำ ก็ไม่ได้ดูเลยว่าเราใช้งบประมาณพลางก่อนได้ 1,700 กว่าล้าน 8 กระทรวง 11 หน่วยงาน ก็เบิกมา 600 กว่าล้านและผมไม่มีอำนาจไปเซ็นสั่งจ่าย ไม่มีอำนาจไปเบิกเงิน สตางค์แดงเดียวผมก็ไม่เคยไปขอ เวลาผมไปต่างจังหวัดผมเบิกงบได้ผมยังไม่เอาเลยเพราะผมไม่คิดทำชั่ว ถ้าผมเป็นคนชั่ว ผมเดินมาไม่ได้ถึงวันนี้ ชีวิตผมเริ่มต้นจากความลำบากยากแค้น มาถึงวันนี้ได้ถือว่าต้องทำดี” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ฝ่ายค้านพยายามหยิบยกเรื่องงบประมาณมาย้ำอยู่บ่อยๆ เพราะอะไร รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเพราะว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาล และตนคิดก้าวหน้า เมื่อสักครู่ตนได้ขออนุญาตนายกรัฐมนตรีว่า จะเอาหน่วยปราบยาเสพติดหรือผู้ชำนาญไปอยู่ภูมิภาคอาเซียน เพราะในภูมิภาคอาเซียนได้ส่งคนมาอยู่ที่ประเทศไทย แต่เราไม่เคยส่งไป จึงต้องมีการศึกษารูปแบบของประเทศออสเตรเลีย เพราะประเทศนี้ไม่มียาเสพติดเลย และถึงมียังไงก็ขายไม่ได้ เพราะคนไม่สูบและเสพ

“วันนี้ผมอ่านคอลัมน์ของไทยโพสต์ ผมอ่านแล้วเศร้าจริงๆ ไปเขียนทำนองว่าย้ายคุกผู้ค้ายาเสพติดไปอยู่เขาบิน ก็เปิดโอกาสให้คนข้างนอกค้าใหม่ จับการพนันก็เปิดโอกาสให้คนไปเล่นที่เมืองนอกแล้วจะให้ทำยังไง เขียนมาได้ยังไง ผมไม่อยากทะเลาะกับสื่อ แต่อ่านแล้วอับอายว่าจับบ่อนการพนันก็ไปเล่นที่ปอยเปต ไปเล่นที่พม่า ก็ที่นั่นเขาถูกกฎหมายจะให้ผมทำยังไง ส่วนชูวิทย์ก็พูดไปไกลถึงเสื้อเหลือง เสื้อแดง ถ้ามันผิดผมก็จับหมด” รองนายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า ผลการประชุมในวันนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ได้สั่งการหลายเรื่องโดยเฉพาะให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด และการทุจริต และขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เรียบร้อยแล้ว 5 คน ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย.54 ขณะนี้สามารถทำงานได้แล้ว และตนจะไปแก้กฎหมายว่าข้าราชการใดก็ตาม ที่เดิมพ้นไปแล้ว 5 ปี ไม่สามารถดำเนินการสอบได้ ตนบอกว่าไม่ได้ น้อยไป เพราะคุณโกง ต้องมากกว่านั้น ขณะนี้กำลังยกร่างอยู่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 9 ภาค 9 เขต ไปรณรงค์จัดตั้งโครงการข้าราชการหัวใจสีขาว และเราจะเดินต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยจะระดมให้ทั่วโลกเป็นหุ้นส่วนของความทุกข์ยาก และหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เราทำคนเดียวมาสำเร็จ ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์เขาไม่คิดว่ารัฐบาลจะทำได้ เหตุที่เขาทำลำบาก เพราะเช้าสายบ่ายเย็นเขาพูดแต่เรื่อง 2,500 ศพ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่กล้าทำงาน อิจฉา ไม่มีเรื่องอื่น

เมื่อถามว่าที่จะแก้กฎหมายจะขยายเวลาออกไปอีกเท่าไหร่ รองนายกฯ กล่าวว่า กำลังคิดอยู่ ข้าราชการคนไหนเกษียณหรือลาออกไป 5 ปีแล้ว ถ้าเกิน 5 ปีก็ไปสอบไม่ได้ ตนบอกว่าต้องมากกว่านั้นและอีกเรื่อง คือ เมื่อช่วงเช้านักวิชาการออกมาพูดซึ่งเขาฟังไม่เข้าใจ ที่ตนบอกว่าถ้าศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตผู้ค้ายาเสพติด และศาลอุทธรณ์ ก็ตัดสินให้ประหารชีวิต คดีจะเป็นอันยุติไปฎีกาไม่ได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้ผมจะแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตก็ต้องมีกำหนดระยะเวลาให้ประหาร ไม่อย่างนั้นเวลาจะประหารชีวิตก็จะหาช่องทางไป ไม่เข็ดหลาบ แล้วคดียาเสพติดตอนที่ตนอยู่กระทรวงยุติธรรม ตนได้ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมแก้ไขอายุความจาก 20 ปี เป็น 30 ปี พิจารณาศาลชั้นต้นในต่างจังหวัดเมื่อศาลตัดสิน ต้องมาอุทธรณ์ที่ศาลอุทรณ์กลาง เมื่อศาลอุทรณ์กลางมีความเห็นเหมือนกันก็ฎีกาไม่ได้ ถ้าไม่มีมาตรการเด็ดขาดก็เอาไไม่อยู่ต้องช่วยกัน

เมื่อถามว่า ปัญหายาเสพติดจะขจัดความต้องการในบ้านเราได้อย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า ต้องลดกลุ่มเสี่ยงและปริมาณ ซึ่งตนได้เชิญสถานประกอบการมาประชุม และจะต้องรณรงค์ให้เห็นทรรศนะคติและประชามติว่ายาเสพติดเป็นเรื่องที่เลวร้าย ตนได้ให้มีการถอดแบบที่ออสเตรเลียอยู่ ซึ่งในวันที่ 12 ก.พ.นี้ตนจะรณรงค์ไปที่ จ.ราชบุรี และจ.เพชรบุรี

เมื่อถามว่า เมื่อค้นคุกแล้วพบยาเสพติดแสดงว่าผู้คุมก็เต็มใจด้วย รองนายกฯ กล่าวว่า บางส่วนก็ด้วย แต่ตนไม่ได้หมายความว่าทุกคนไม่ดี ตอนนี้ตนสั่งเด็ดขาดไม่ต้องไปยั้งมือ ให้ตำรวจตรวจค้น ตนกับอธิบดีก็สนิทสนมกัน และจะต้องหาวิธีการเรื่องคุณสมบัติผู้คุมอีกครั้ง

เมื่อถามว่า การส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำอาเซียนเป็นในลักษณะใด รองนายกฯ กล่าวว่า ไปในฐานะสืบสวนสอบสวนหาแหล่งข่าว เหมือนที่อาเซียนส่งมาอยู่กับเรา โดยตั้งใจว่าให้ไปอยู่ในมณฑลยหยุนหนัน พม่า ลาวและกัมพูชา ประเทศละไม่เกิน 2 คน ซึ่งตนได้เรียนนายกฯ แล้วท่านก็เห็นด้วย รมว.ต่างประเทศก็เห็นด้วย ซึ่งเมื่อก่อนกระทรวงต่างประเทศเคยคัดค้าน เพราะบอกว่ามีทูตอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ต้องมีการกำหนดสเป็กคนที่มีความชำนาญด้านนี้ซึ่งต่างประเทศน่าจะตอบรับ เพราะการทำงานต้องประสานกัน และตนจะนัดพบกันเร็วๆ นี้ ในกลุ่มอาเซียนทั้งหมดและกลุ่มนอกอาเซียน 16 ประเทศ

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนการพิจารณาคัดเลือกบุคคลนั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความชำนาญและเข้าในปัญหายาเสพติดอาจจะเป็นตำรวจจาก ป.ป.ส. และต้องมีการหารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและให้กระทรวงการต่างประเทศเห็นชอบ โดยในสัปดาห์หน้าจะเสนอที่ประชุม ครม. และจะต้องเสร็จภายในเดือนนี้

เมื่อถามว่า จากการไปหารือกับนายกฯ นอกจากปัญหายาเสพติดแล้ว ได้มีการหารือเรื่องอื่นๆหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม การแก้ปัญหาการทุจริต หลายเรื่องแต่ตนออกมาก่อน

รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตนว่า ตนรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมานักการเมืองและสื่อมวลชน ไปเข้าในว่าตนกับนายชูวิทย์รู้กัน เวลาที่ตนกับนายชูวิทย์ทำอะไรก็ไปเขียนกะแหนะกะแหนว่าตนอยู่เบื้องหลัง พอเมื่อวานนี้นายชูวิทย์ออกมาวิจารณ์ตน ตนไม่ได้โกรธ แต่ดีใจและสุขใจ เพราะแต่นี้ต่อไปจะได้รู้ว่าตนกับนายชูวิทย์ไม่ได้มีความลับบางอย่างกัน ไม่ได้มีมิติสัมพันธ์อย่างที่ตนเข้าใจ ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้ตนมีส่วนรู้และร่วมตรวจสอบ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่จริงตนก็รับฟังไม่ได้ และตนขอเรียนว่าเรื่องบ่อนการพนันที่ตำรวจต้องรับผิดชอบเพราะตำรวจมีส่วนรู้เห็น และตำรวจได้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าหากเป็นบ่อนวิ่งตำรวจไม่มีส่วนรู้เห็นจะไปลงโทษเขาก็ไม่ได้ จากการที่ตนเคยรับราชการมารู้ว่าเขาก็จะเสียกำลังใจ ตนถามจเรตำรวจเขาระบุว่าไม่ได้เสนอให้ลงโทษทางวินัย แต่เสนอทางการปกครอง คือ ผู้บัญชาการนครบาลจะพิจารณาว่าที่ผ่านมาบกพร่องหรือไม่ ถ้าบกพร่องก็จะดำเนินการ ส่วนทางวินัยก็จะมีการลงโทษ เช่น ไล่ออก ให้ออก ปลดออก กักขัง กักยาม เป็นต้น ซึ่งนายชูวิทย์นั้นอาจจะไม่เข้าใจ

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า อย่างตอนนี้ ผู้กำกับ สน.สายไหมได้ยื่นตรวจสอบนายชูวิทย์ 2 ข้อหา คือ หมิ่นประมาท และดูหมิ่นเจ้าพนักงานที่ศาลอาญาใต้ และการที่นายชูวิทย์พูดจาวกวนแขวะไปแขวะมา ตนก็มีฝ่ายกฎหมายตรวจดูว่ามีตรงไหนบ้างที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ถ้าเข่าข่ายผิดกฎหมายก็จะยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาทต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น