มหาดไทยจี้ กทม.เร่งจ่ายเงินน้ำท่วม 5 พันบาทเบื้องต้นให้ครอบคลุมโดยเร็ว จี้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ม.112
วันนี้ (3 ก.พ.) นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครัวเรือนละ 5,000 บาท ขณะนี้ยังคงล่าช้าอยู่ อยากเสนอแนะให้กรุงเทพมหานครอนุมัติเงินให้ครอบคลุมทั้งชุมชนได้เลย เพราะการสำรวจเป็นรายครัวเรือนอย่างในปัจจุบันนั้นทำให้การจ่ายเงินล่าช้าออกไปมาก ประชาชนที่ประสบอุทกภัยที่แท้จริงคงจะไปตัดสิทธิ หรือกำหนดเวลาไม่ได้ ถึงแม้จะหมดเวลาที่ทางรัฐบาลขยายต่อเวลาให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทุกจังหวัดก็ยังสามารถส่งเอกสารเพื่อรับเงิน 5,000 บาทได้อยู่ โดยสามารถยื่นเอกสารหลักฐานมายังผู้ว่าราชการจังหวัด หรือยื่นที่สำนักงานเขตนั้นได้เลยแม้จะเลยกำหนด 45 วันก็ยังสามารถทำเรื่องให้สำนักงานเขตให้ส่งเรื่องไปที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อส่งต่อให้ทางสำนักงบประมาณ ทำการจัดสรรเงินงบประมาณลงไปเยียวยาต่อไปได้” รองปลัดกล่าว
ส่วนกรณีงบประมาณส่วนกลางเพื่อฟื้นฟูสาธารณูปโภค ได้ถูกพิจารณาลดลงจาก 20,000 กว่าล้านบาท เหลือเพียง 15,100 ล้านบาทเศษ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในจังหวัดต่างๆ ที่ยังไม่ได้ดำเนินเสนอของบประมาณเข้ามาซึ่งเกรงว่าจะทำให้ชักช้า โดยวันที่ (2 ก.พ.55)
นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานที่สำนักงบประมาณ โดยพบว่ายอดเงินที่โอนไปให้ ทั้ง 56 จังหวัดขณะนี้รวมเป็นเงิน 5,332,899,000 ล้านบาท เหลือที่ยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณอีก 7,245,205,634 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะมีการเร่งรัดเงินในส่วนนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์
เมื่อถามถึงการจ่ายเงินจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่นั้น นายประชากล่าวว่า ทางรัฐบาลคาดว่าอีก 45 วันน่าจะดำเนินเสร็จสิ้นทั้งหมดทุกจังหวัดในส่วนของเงินเยียวยา 5,000 บาท ส่วนเรื่องเยียวยาอื่นๆ ได้แก่ บ้านพังทั้งหลัง 30,000 บาท เครื่องมือทำกินสูญหาย เป็นเรื่องของรายละเอียดที่ยังต้องทำการตรวจสอบ สำหรับเรื่องร้องเรียนการจ่ายเงินเยี่ยวยาที่ไม่เป็นธรรม ประชาชน สามรถร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงการเคลื่อนไหวการเพื่อต่อต้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ว่า ทางรัฐบาลได้ ยืนยันชัดเจนตลอดว่าไม่มีนโยบายในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เพราะตัวกฎหมายอาญาไม่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญที่ทางรัฐบาลได้ประกาศจะดำเนินการแก้ไข ขอเรียกร้องให้ประชาชนทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ยุติเรื่องดังกล่าวโดยเร็วเพราะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง
“คนรากหญ้าทุกระดับของสังคมไทยรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อาจจะมีนักศึกษา นักวิชาการส่วนน้อยที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ เขาอาจจะร้อนวิชาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าเอามาเป็นประเด็น มาจุดพลุสร้างความแตกแยกทางสังคม คนที่รักเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยอมไม่ได้ นักวิชาการนักศึกษารุ่นหลังอาจไม่ค่อยได้ซึมซับพระราชกรณียกิจของพระองค์ ซึ่งทุกจังหวัดต่างก็มีโครงการตามพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์จำนวนมาก แต่เนื่องจากไม่ค่อยได้มีการนำมาแสดงให้นักเรียนโรงเรียนต่างๆ ได้รับชมซึ่ง ก็ได้แนะนำไปแล้วว่าทุกจังหวัดให้นำมาจัดนิทรรศการมากขึ้น สำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการดูหมิ่น ไม่สมควรและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยทางกระทรวงมหาดไทยจะทำการเฝ้าดู ร่วมกับกระทรวงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย” นายประชากล่าว
ส่วนการจัดการชุมนุมชุมนุมที่บริเวณลานพระรูปทรงม้าในวันที่ 10 ก.พ.นั้น นายประชากล่าวว่า อยากขอร้องให้ผู้ที่จะมาชุมนุมอย่ากีดขวางทางจราจร และอย่าปิดถนนเป็นอันขาดเนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย ถึงแม้จะเป็นสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม ทั้งนี้ ใครที่ทำผิดกฎหมายในวันนั้นจะมีการบันทึกภาพเป็นหลักฐานในชั้นศาล
วันนี้ (3 ก.พ.) นายประชา เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครัวเรือนละ 5,000 บาท ขณะนี้ยังคงล่าช้าอยู่ อยากเสนอแนะให้กรุงเทพมหานครอนุมัติเงินให้ครอบคลุมทั้งชุมชนได้เลย เพราะการสำรวจเป็นรายครัวเรือนอย่างในปัจจุบันนั้นทำให้การจ่ายเงินล่าช้าออกไปมาก ประชาชนที่ประสบอุทกภัยที่แท้จริงคงจะไปตัดสิทธิ หรือกำหนดเวลาไม่ได้ ถึงแม้จะหมดเวลาที่ทางรัฐบาลขยายต่อเวลาให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทุกจังหวัดก็ยังสามารถส่งเอกสารเพื่อรับเงิน 5,000 บาทได้อยู่ โดยสามารถยื่นเอกสารหลักฐานมายังผู้ว่าราชการจังหวัด หรือยื่นที่สำนักงานเขตนั้นได้เลยแม้จะเลยกำหนด 45 วันก็ยังสามารถทำเรื่องให้สำนักงานเขตให้ส่งเรื่องไปที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อส่งต่อให้ทางสำนักงบประมาณ ทำการจัดสรรเงินงบประมาณลงไปเยียวยาต่อไปได้” รองปลัดกล่าว
ส่วนกรณีงบประมาณส่วนกลางเพื่อฟื้นฟูสาธารณูปโภค ได้ถูกพิจารณาลดลงจาก 20,000 กว่าล้านบาท เหลือเพียง 15,100 ล้านบาทเศษ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในจังหวัดต่างๆ ที่ยังไม่ได้ดำเนินเสนอของบประมาณเข้ามาซึ่งเกรงว่าจะทำให้ชักช้า โดยวันที่ (2 ก.พ.55)
นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานที่สำนักงบประมาณ โดยพบว่ายอดเงินที่โอนไปให้ ทั้ง 56 จังหวัดขณะนี้รวมเป็นเงิน 5,332,899,000 ล้านบาท เหลือที่ยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณอีก 7,245,205,634 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะมีการเร่งรัดเงินในส่วนนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์
เมื่อถามถึงการจ่ายเงินจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่นั้น นายประชากล่าวว่า ทางรัฐบาลคาดว่าอีก 45 วันน่าจะดำเนินเสร็จสิ้นทั้งหมดทุกจังหวัดในส่วนของเงินเยียวยา 5,000 บาท ส่วนเรื่องเยียวยาอื่นๆ ได้แก่ บ้านพังทั้งหลัง 30,000 บาท เครื่องมือทำกินสูญหาย เป็นเรื่องของรายละเอียดที่ยังต้องทำการตรวจสอบ สำหรับเรื่องร้องเรียนการจ่ายเงินเยี่ยวยาที่ไม่เป็นธรรม ประชาชน สามรถร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงการเคลื่อนไหวการเพื่อต่อต้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ว่า ทางรัฐบาลได้ ยืนยันชัดเจนตลอดว่าไม่มีนโยบายในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เพราะตัวกฎหมายอาญาไม่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญที่ทางรัฐบาลได้ประกาศจะดำเนินการแก้ไข ขอเรียกร้องให้ประชาชนทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ยุติเรื่องดังกล่าวโดยเร็วเพราะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง
“คนรากหญ้าทุกระดับของสังคมไทยรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อาจจะมีนักศึกษา นักวิชาการส่วนน้อยที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ เขาอาจจะร้อนวิชาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าเอามาเป็นประเด็น มาจุดพลุสร้างความแตกแยกทางสังคม คนที่รักเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยอมไม่ได้ นักวิชาการนักศึกษารุ่นหลังอาจไม่ค่อยได้ซึมซับพระราชกรณียกิจของพระองค์ ซึ่งทุกจังหวัดต่างก็มีโครงการตามพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์จำนวนมาก แต่เนื่องจากไม่ค่อยได้มีการนำมาแสดงให้นักเรียนโรงเรียนต่างๆ ได้รับชมซึ่ง ก็ได้แนะนำไปแล้วว่าทุกจังหวัดให้นำมาจัดนิทรรศการมากขึ้น สำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการดูหมิ่น ไม่สมควรและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยทางกระทรวงมหาดไทยจะทำการเฝ้าดู ร่วมกับกระทรวงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย” นายประชากล่าว
ส่วนการจัดการชุมนุมชุมนุมที่บริเวณลานพระรูปทรงม้าในวันที่ 10 ก.พ.นั้น นายประชากล่าวว่า อยากขอร้องให้ผู้ที่จะมาชุมนุมอย่ากีดขวางทางจราจร และอย่าปิดถนนเป็นอันขาดเนื่องจากมีความผิดตามกฎหมาย ถึงแม้จะเป็นสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ตาม ทั้งนี้ ใครที่ทำผิดกฎหมายในวันนั้นจะมีการบันทึกภาพเป็นหลักฐานในชั้นศาล
