ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงการคลัง ยกเว้นเก็บภาษือากรสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย เผย มีโรงงานกลับมาประกอบธุรกิจแล้วทั้งสิ้นแค่ ร้อยละ 29 ตามแผนฟื้นฟู
วันนี้ (31 ม.ค.) นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเรื่องราคาอ้อย ว่า ครม.เห็นชอบในหลักการกำหนดราคาอ้อย โดยกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นปี 2554-2555 ในอัตรา 1,000 บาทต่อหนึ่งตันอ้อย และผลตอบแทนการผลิตและการจำหน่ายน้ำตาลขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2554-2555 เท่ากับ 428.57 บาทต่อตันอ้อย นอกจากนี้ ครม.ยังรับทราบถึงเรื่องการขอเงินชดเชยราคาอ้อยและต้นทุนที่ชาวไร่อ้อยบอกว่าหนึ่งพันบาทยังไม่พอ ทั้งนี้ ครม.ได้มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำไปพิจารณาถึงขั้นตอนการจ่ายเงินชดเชย และนำกลับมาเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เร่งรัดให้กระทรวงอุตสาหกรรม ไปศึกษาแนวทางปรับโครงการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ทั้งระบบให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้แก้ไขโครงการอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ในระยะยาว
นายชลิตรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง ได้นำเสนอ ครม.ในเรื่องการไม่เก็บภาษีอากรสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ซึ่งประกอบด้วย เมล็ดพลาสติกพีวีซี กระป๋องอะลูมิเนียนเก่า สารประกอบอะลูมิเนียนเก่า ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ประกอบการผลิตสินค้าจะต้องมีโรงงานอุตสาหกรรมที่เสียหายจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ที่อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
“โดยเงื่อนไขมีอยู่ว่าสิ่งของที่นำเข้าต้องเป็นสิ่งของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้งาน และต้องเป็นของชนิดเดียวกัน หรือแบบใกล้เคียงกับที่ได้รับสิทธิ์ในการยกเว้นภาษีอากรในโรงงานของตนก่อนประสบอุทกภัย ผู้ที่ได้รับสิทธิ์การยกเว้นอากรจะต้องเป็นผู้นำเข้าสินค้าเอง สิ่งของที่นำเข้าจะต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้รับผิดชอบ” นายชลิตรัตน์ กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ระยะเวลาในการยกเว้นภาษีอากรเรื่องดังกล่าวนั้น เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึง 30 มิ.ย.2555 ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ได้ให้มีการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์รถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนยานยนต์ที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศไปแล้ว ในเรื่องการยกเว้นอากรในพื้นที่ประสบอุทกภัยในวันที่ 5 ม.ค.2555 ที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย รองโฆษก บอกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเรียนให้ ครม.ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ที่ประกอบด้วย การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดงานบีโอไอ แฟร์ ได้รับความสนใจและประสบผลสำเร็จ โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 2.6 ล้านคน ในส่วนของการเข้าชมงานเป็นหมู่คณะทั้งในและต่างประเทศรวมกว่าหนึ่งแสนคน
รองโฆษก บอกว่า ผลการฟื้นฟูเยียวยาภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับมาประกอบธุรกิจแล้วทั้งสิ้น 258 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 ของโรงงานทั้งหมด 888 รายที่ได้รับแจ้งถึงความเสียหาย มาตรการสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน คือ การยกเว้นภาษีขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบที่ทดแทนอุปกรณ์เครื่องจักรเก่าที่ประสบอุทกภัย วัตถุดิบที่ได้รับความเสียหายจำนวน154 โครงการ มูลค่า 21,502 ล้านบาท และยังได้อนุมัติเงินและใบอนุญาตจำลองให้กับบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมไปแล้ว 80 กว่าบริษัท นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ได้ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม คือ โครงการจัดศูนย์พักพิงภาคอุตสาหกรรมซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้ว 114 ราย ประกอบด้วย สถานประกอบการอุตสาหกรรม และรัฐวิสาหกิจชุมชน และมีการใช้พื้นที่ไปแล้ว 13,868 ตารางเมตร อีกทั้งโครงการบริหารความปลอดภัยด้านการทำงานและสิ่งแวดล้อมที่ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปให้ข้อมูลและดูแล รวมถึงโครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ที่ได้เริ่มเก็บตัวอย่างน้ำไปแล้ว 1,200 ตัวอย่าง และโครงการในกลุ่มอุตสาหกรรมมีผู้ขอความช่วยเหลือแล้ว 3,952 ราย ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น 782 ราย และธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ 465 ราย
วันนี้ (31 ม.ค.) นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเรื่องราคาอ้อย ว่า ครม.เห็นชอบในหลักการกำหนดราคาอ้อย โดยกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นปี 2554-2555 ในอัตรา 1,000 บาทต่อหนึ่งตันอ้อย และผลตอบแทนการผลิตและการจำหน่ายน้ำตาลขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2554-2555 เท่ากับ 428.57 บาทต่อตันอ้อย นอกจากนี้ ครม.ยังรับทราบถึงเรื่องการขอเงินชดเชยราคาอ้อยและต้นทุนที่ชาวไร่อ้อยบอกว่าหนึ่งพันบาทยังไม่พอ ทั้งนี้ ครม.ได้มอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำไปพิจารณาถึงขั้นตอนการจ่ายเงินชดเชย และนำกลับมาเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาอีกครั้ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เร่งรัดให้กระทรวงอุตสาหกรรม ไปศึกษาแนวทางปรับโครงการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ทั้งระบบให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้แก้ไขโครงการอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ในระยะยาว
นายชลิตรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง ได้นำเสนอ ครม.ในเรื่องการไม่เก็บภาษีอากรสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ซึ่งประกอบด้วย เมล็ดพลาสติกพีวีซี กระป๋องอะลูมิเนียนเก่า สารประกอบอะลูมิเนียนเก่า ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ประกอบการผลิตสินค้าจะต้องมีโรงงานอุตสาหกรรมที่เสียหายจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ที่อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
“โดยเงื่อนไขมีอยู่ว่าสิ่งของที่นำเข้าต้องเป็นสิ่งของใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้งาน และต้องเป็นของชนิดเดียวกัน หรือแบบใกล้เคียงกับที่ได้รับสิทธิ์ในการยกเว้นภาษีอากรในโรงงานของตนก่อนประสบอุทกภัย ผู้ที่ได้รับสิทธิ์การยกเว้นอากรจะต้องเป็นผู้นำเข้าสินค้าเอง สิ่งของที่นำเข้าจะต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้รับผิดชอบ” นายชลิตรัตน์ กล่าว
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ระยะเวลาในการยกเว้นภาษีอากรเรื่องดังกล่าวนั้น เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึง 30 มิ.ย.2555 ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ได้ให้มีการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์รถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนยานยนต์ที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศไปแล้ว ในเรื่องการยกเว้นอากรในพื้นที่ประสบอุทกภัยในวันที่ 5 ม.ค.2555 ที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย รองโฆษก บอกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเรียนให้ ครม.ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ที่ประกอบด้วย การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดงานบีโอไอ แฟร์ ได้รับความสนใจและประสบผลสำเร็จ โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 2.6 ล้านคน ในส่วนของการเข้าชมงานเป็นหมู่คณะทั้งในและต่างประเทศรวมกว่าหนึ่งแสนคน
รองโฆษก บอกว่า ผลการฟื้นฟูเยียวยาภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสาหกรรมที่กลับมาประกอบธุรกิจแล้วทั้งสิ้น 258 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 ของโรงงานทั้งหมด 888 รายที่ได้รับแจ้งถึงความเสียหาย มาตรการสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน คือ การยกเว้นภาษีขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบที่ทดแทนอุปกรณ์เครื่องจักรเก่าที่ประสบอุทกภัย วัตถุดิบที่ได้รับความเสียหายจำนวน154 โครงการ มูลค่า 21,502 ล้านบาท และยังได้อนุมัติเงินและใบอนุญาตจำลองให้กับบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมไปแล้ว 80 กว่าบริษัท นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ได้ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม คือ โครงการจัดศูนย์พักพิงภาคอุตสาหกรรมซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้ว 114 ราย ประกอบด้วย สถานประกอบการอุตสาหกรรม และรัฐวิสาหกิจชุมชน และมีการใช้พื้นที่ไปแล้ว 13,868 ตารางเมตร อีกทั้งโครงการบริหารความปลอดภัยด้านการทำงานและสิ่งแวดล้อมที่ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปให้ข้อมูลและดูแล รวมถึงโครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ที่ได้เริ่มเก็บตัวอย่างน้ำไปแล้ว 1,200 ตัวอย่าง และโครงการในกลุ่มอุตสาหกรรมมีผู้ขอความช่วยเหลือแล้ว 3,952 ราย ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น 782 ราย และธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ 465 ราย
