ที่ประชุม ครม.เงา สั่งจับตาตัวเลขหนี้สาธารณะหลังรัฐบาลโอนหุ้นไปให้กองวายุภักษ์ หวังตกแต่งบัญชีเพื่อหาทางกู้เพิ่ม เชื่อไอ้โม่งมีส่วนได้เสีย ต้องการโอน ปตท.สถานภาพจากรัฐวิสาหกิจสู่มือนายทุน เท่ากับขายสมบัติชาติ เตรียมยื่นตีศาล รธน.ตีความพ.ร.ก.2 ฉบับ
วันนี้ (25 ม.ค.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี โฆษก ครม.เงา แถลงว่า ที่ประชุม ครม.เงาได้มีการพิจารณากรณีการแปรรูป ปตท.ที่รัฐบาลโอนหุ้นจากกระทรวงการคลังไปให้กองทุนวายุภักษ์เพื่อเปลี่ยนสถานะจากการเป็นรัฐวิสาหกิจของ ปตท. โดยที่ประชุมมองว่าเป็นการขยับให้รัฐบาลสามารถไปก่อหนี้เพิ่มเติมได้เพิ่ม จะทำให้หนี้สาธารณะลดลงเฉพาะตัวเลขเท่านั้น โดย ครม.เงาให้ไปศึกษาว่าในช่วง 5-6 เดือนที่จะเกิดขึ้นตัวเลขหนี้สาธารณะที่แท้จริงจะเป็นจำนวนเท่าไร หลังจากมีการตกแต่งทำบัญชี เพื่อกู้เพิ่มจึงต้องติดตามดูว่าการปรับให้กองทุนวายุพักเข้าไปใครมีส่วนได้ส่วนเสียในครั้งนี้
“แค่เริ่มต้นก็เสียวแล้วมีการล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแบงก์ชาติ ตอนนี้กำลังเอาสมบัติชาติไปขายจึงต้องจับตาดูเป็นพิเศษว่าที่อ้างว่าต้องการขยับเพื่อกู้หนี้ได้เพิ่มเป็นการเอาสมบัติชาติไปขายหรือไม่” นายอรรถวิชช์กล่าว
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า การที่รัฐบาลโอนหุ้นร้อยละ 2 ให้กองทุนวายุภักษ์ไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ ปตท. เพราะบอร์ด ปตท.ก็ยังเหมือนเดิม จึงไม่ส่งผลต่อนโยบายด้านพลังงานเพียงแต่ขยับหนี้สาธารณะให้ลดลงเท่านั้น เพราะหนี้ที่ ปตท.ก่อทุกปีถูกนับรวมให้เป็นหนี้สาธารณะ ขณะนี้ ปตท.มีหนี้มากถึง 2.52 แสนล้านบาท จาก 4.3ล้านล้านบาท เมื่อ ปตท.แปรรูปไปแล้วจะทำให้หนี้สาธารณะลดฮวบ
ด้าน ดร.สรรเสริญ สะมะลาภา รมช.คลังเงา กล่าวว่า การพยายามลดหนี้สาธารณะเป็นเพียงข้ออ้างเพราะยังมีเพดานในการกู้อีกมาก ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ครั้งนี้รัฐบาลเพียงแค่เลี่ยงบาลีเท่านั้น หากจะมีการลดหนี้สาธารณะเพื่อจะนำไปสู่การกู้ใหม่ ก็ต้องขอดูแผนการกู้ว่าทำไมถึงกู้มากมาย และแม้จะไม่มีการโยกหนี้สาธารณะ ปตท.ก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วเพราะรวยมาก จึงน่าจะมีวาระซ่อนเร้นมากกว่าในการลดหนี้สาธารณะ
“สิ่งที่น่าสังเกต คือ มีความพยายามนำกองทุนวายุภักษ์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้หุ้น 17 เปอร์เซ็นต์นี้ไปอยู่ในมือนายทุน เราไม่เชื่อใจรัฐบาลชุดนี้เพราะมีความพยายามมาตั้งแต่แรกที่จะฮุบ ปตท.จากมือประชาชนไปสู่นายทุน เพราะภาระของ ปตท.ไม่ได้มีอยู่แค่ดูแลด้านพลังงาน แต่มีการลงทุนอีกหลายอย่าง เช่น โครงการท่อก๊าซ 3 หมื่นล้านบาท หรือการลงทุนร่วมไทย-เขมรในโครงการแหล่งก๊าซธรรมชาติ
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า นอกจาก พ.ร.ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูให้ ธปท.รับภาระแล้ว พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ก็เป็นสิ่งที่พรรคจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความด้วยเท่ากับว่าจะยื่นตีความ 2 ฉบับ เพราะข้อมูลชัดเจนขึ้นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินเร่งด่วนตามที่รัฐบาลอ้าง
ส่วนที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาอ้างว่าตัวเลขภาระหนี้ต่องบประมาณที่เหลือร้อยละ 9.33 แทนที่จะเป็นร้อยละ 12 เป็นเพราะมีการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาทให้แบงก์ชาติรับผิดชอบจากการออก พ.ร.ก.นั้น ประเด็นหลักคือ ไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ล้วนแต่ฟ้องว่ารัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องออก พ.ร.ก. หรือไปยุ่งวุ่นวายกับหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ เพราะยังอยู่ในวิสัยที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ซึ่งกระทรวงการคลังยืนยันแล้วว่าตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 9.33 และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงแค่ความพยายามสร้างเรื่องขึ้นมารองรับการออก พ.ร.ก. จึงไม่แปลกใจที่จะทำให้เกิดความสับสนในเรื่องนี้