รายงานการเมือง
เป็นรัฐบาลที่รักษาสถิติความเสมอต้นเสมอปลายได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ สำหรับบทโคลนนิ่งทักษิณ อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี สม่ำเสมอในการสร้างความเสียหายให้ชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ตั้งแต่มั่วบริหารวิกฤตน้ำ มั่นใจ “เอาอยู่” แต่ท่วมเกือบทั่วประเทศ แม้กระทั่งรัฐบาลปูแดงก็เกือบเอาตัวไม่รอด
บริหารพลังงานประกาศกระชากค่าครองชีพ ก็กลับตาลปัตรฉุดค่าครองชีพให้สูงลิบลิ่วจากนโยบายปล้นเงินประชาขนไปประกันรายได้ให้ ปตท.
จ้องปล้นคลังหลวงล้วงเงินคงคลัง จนสะเทือนโครงสร้างการเงินการคลังของประเทศ
ล่าสุดยังทำภาพลักษณ์ชาติดิ่งเหวจากความอ่อนด้อยในเรื่องงานด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ อย่างไม่น่าให้อภัย
การที่ “ยิ่งลักษณ์” ฝากงานด้านความมั่นคงไว้กับ 2 ตำรวจนักจัดฉาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายมากขึ้น
ความสับสนจากข้อมูลที่ปรากฏสะท้อนความผิดพลาดของยุทธศาสตร์การสื่อสารในสถานการณ์วิกฤต และยังสุ่มเสี่ยงต่อการตกหลุมพรางของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่หวังกินรวบผลประโยชน์ในอาเซียนด้วย
ประเด็นเรื่องก่อการร้ายในประเทศไทย มีหลากหายมิติที่รัฐบาลมองข้ามจนทำให้การกำหนดแนวทางแก้ปัญหาเป็นไปอย่างไม่รอบคอบ โฉ่งฉ่าง และสุดท้ายเดินเข้าสู่ “กับดัก” ความขัดแย้งข้ามชาติอย่างไม่จำเป็น
ปัญหาเริ่มจากสถานทูตสหรัฐอเมริกาออกประกาศเตือนพลเมืองของตัวเองผ่านเว็บไซต์ แทนที่นายกรัฐมนตรีจะตั้งสติเรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อสรุปปัญหาและแนวทางแก้ไขอย่างเป็นเอกภาพ
กลับเออออห่อหมกรับรองคำเตือนของสหรัฐฯ ว่า “มีอยู่จริง” ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ภายในประเทศไทยดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นในสายตาของต่างชาติ
หลายคนอาจคิดว่าการประกาศเตือนพลเมืองของประเทศต่างๆ เกิดขึ้นหลังคำเตือนของสหรัฐอเมริกา แต่อีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่าคำเตือนเหล่านั้นมิได้เกิดขึ้นทันทีหลังสหรัฐมีประกาศออกมา
นั่นแสดงให้เห็นว่า ต่างประเทศเองก็ให้โอกาสไทยในการชี้แจงเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่ไทยก็ล้มเหลวเกินกว่าจะสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีโลก
เรียกว่าความมั่นคงของชาติถูกปั่นข่าวหวังสร้างผลงานให้ “เฉลิม-เพรียวพันธ์” ด้วยวิธีคิดแบบตำรวจคือ เอาหน้า และจบปัญหาง่ายๆ
ทำให้มีการแถลงข่าวอย่างใหญ่โตถึวการจับกุมขายชาวเลบานอน ระบุเสร็จสรรพว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มไหน ยกเลิกแผนแล้วเพราะถูกจับได้ ไม่ตั้งข้อหา เตรียมเนรเทศ
แต่เรื่องมันไม่จบง่ายๆ เพราะข่าวที่ตำรวจให้ต่อสาธารณะมันไม่ตรงกับงานข่าวของหน่วยอื่นที่ยืนยันว่าไม่มีก่อการร้ายในไทยตามที่ตำรวจออกมาระบุ และนายกรัฐมนตรีออกมาการันตีแบบโง่ๆ โดยไม่สอบทานข้อมูล ซึ่งหากข้อมูลของหน่วยข่าวไทยเป็นจริงก็เท่ากับรัฐบาลไทยเสียค่าโง่อย่างแรง เพราะสหรัฐมีแนวคิดที่จะขยายอำนาจมายังเอเชียและอาเซียนอยู่แล้ว หลังจากเศรษฐกิจประเทศตัวเองและยุโรปใกล้ล่มสลาย จึงต้องหาแหล่งใหม่ในการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
อาเซียนซึ่งกำลังรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะมีผลประโยชน์มหาศาลให้สหรัฐได้เก็บเกี่ยว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่อำนาจต่อรองน้อยสามารถเข้ามาครอบงำได้ไม่ยากนัก และไทยก็ถือเป็นประตูสำคัญที่สหรัฐจะใช้เป็นก้าวแรกในการสยายปีกได้
น่าสังเกตว่า การประโคมข่าวก่อการร้ายในประเทศไทยเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐประกาศฟื้นความสัมพันธ์กับพม่าไม่นานนัก นั่นหมายถึงว่าการค้าการลงทุนขอวสหรัฐกำลังจะคืบคลานเข้ามากลืนกินประเทศเปิดใหม่อย่างพม่าในไม่ช้านี้
แต่ดันมี “นายทุนข้ามชาติ” ที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้าไปตัดหน้าสวาปามบ่อน้ำมันของพม่าเสียก่อน
ทฤษฎีขึ้นบัญชีดำลงโทษและนำไปสู่การออกกฎข้ามชาติครอบงำไทย ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่นในอาเซียนบนข้ออ้างเรื่องการก่อการร้ายสากลจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะออกมา “จัดฉาก” จับคนที่ตัวเองอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งแม้แต่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาสมช. ยังไม่มั่นใจว่าจะใช่ก่อการร้ายตัวจริง
ที่สำคัญคือ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ออกมายืนยันว่าไม่มีสมาชิกของตัวเองถูกจับกุมในต่างประเทศ อีกทั้งปัจจุบันกลุ่มนี้พัฒนาการต่อสู้จนเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ผ่านระบบการเลือกตั้งมาจากประชาชนมีส.ส.ในสภาเลบานอน 23 ที่นั่งจาก 128 ที่นั่ง
ในเมื่อกลุ่มนี้เดินออกมาอยู่ในที่สว่างทำงานการเมืองในสภาอย่างเป็นทางการแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะเดินเกมใต้ดินในลักษณะนี้อีก
รัฐบาลชุดนี้ไม่ฉุกคิดบ้างหรือ ก่อนที่จะกล่าวหาเขาแบบเช่นนี้ เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับกลุ่มนี้โดยไม่จำเป็นอีก
ไม่ว่าการก่อการร้ายครั้งนี้จะเป็นเรื่องจริง หรือถูกจัดฉากขึ้นแต่รัฐบาลไทยได้พาประเทศเข้าสู่ “กับดัก” นี้อย่างเต็มตัวแล้ว และยังไม่มีทีท่าจะหลุดจาก “กับดักความโง่” ของผู้นำเสียด้วย
ร.ต.อ.เฉลิม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ และยิ่งลักษณ์ ที่ออกมาประสานเสียงยืนยันเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งการนำไทยเข้าสู่ความเสี่ยงจากการเป็นเป้าก่อการร้าย
ทั้งการทำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวพังอย่างไม่เป็นท่า
ทั้งการทำลายภาพลักษณ์ประเทศจนไทยกลายเป็นชาติน่ากลัวในสายตาต่างชาติ
ทั้งการทำลายเศรษฐกิจที่นักลงทุนจะมองไทยว่า เป็นประเทศเสี่ยงต่อการก่อการร้ายจนไม่กล้าเข้ามาลงทุน
ต้องยอมรับว่า ยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นโคลนนิ่งทักษิณ มีความเก่งกาจกว่าพี่ชายในแง่การสร้างความหายนะให้แก่ประเทศอย่างเทียบกันไม่เห็นฝุ่นเลยจริงๆ