ทวิตเตอร์ของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัคราชฑูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่ยืนยันว่า ยังไม่ถอนคำเตือนพลเมืองสหรัฐฯ ให้ระวังภัยก่อการร้ายในกรุงเทพฯ และให้หลีกเลี่ยงพื้นที่เป้าหมายคือ ถนนข้าวสารและ ซอย 22 ถนนสุขุมวิท เหมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย และนายกรัฐมนตรี นกแก้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฉาดใหญ่ เพราะเป็นสิง่ที่แสดงว่า ฝ่ายความมั่นคงแ ละข่าวกรองของสหรัฐฯ ไม่เชื่อ คำพูดของนายกฯ นกแก้ว ที่ว่า “ เอาอยู่” และไม่ให้ราคากับ การทำงานของตำรวจไทย ที่จับกุมตัวนายอาทริส ฮุนเซ็น ซึ่งรับว่า เป็นสมาชิกขบวนการก่อการร้ายจากเลบานอน และมีการขยายผล สาวไปถึงแหล่งซุกซ่อนปุ๋ยยูเรีย และแอมโมเนียไนเตรต ซึ่งใช้ประกอบเป็นระเบิดได้ ที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
หลังจากสถานฑูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แถลงผ่านเว็บไซต์ เตือนพลเมืองของตน ให้ระวังการก่อการร้ายในกรุงเทพ เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา นายกฯยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทันทีว่า คนไทยไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้รัฐบาลรู้มานานแล้ว และได้วางกำลังดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว ขอให้สบายใจได้ว่า ปู เอาอยู่ เหมือนตอนน้ำท่วม ย.ห. อย่าห่วง
นายกฯนกแก้ว ยังได้แสดงภาวะผู้นำ เหนือพญาอินทรี ฯ ด้วยการสั่งให้พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีกลาโหม ไปบอกกระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ให้ถอนคำแจ้งเตือน ภายในวันที่ 16 มกราคม ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ก็ฉวยโอกาสแสดงผลงาน ด้วยการประกาศว่า จะเรียกทูตสหรัฐ ฯ และทูตประเทศอื่นๆอีก 2 ประเทศ มาพบเพื่อสอบถามว่า เหตุใดจึงไม่ปรึกษาหารือรัฐบาลไทยก่อน การแจ้งเตือนเช่นนี้ ทำหใประเทศไทนยเสียหาย แต่คงมีข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปกระซิบให้รู้ว่า การเรียกฑูตของประเทศใดประเทศหนุ่งเข้าพบนั้น เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการแสดงการประท้วงต่อประเทศนั้นๆ การเตือนให้พลเมืองของตน ระวังภัย ถือเป็นหน้าที่ปกติ การสั่งให้ทูตไปพบ เพราะเรื่องนี้ แสดงถึงความไร้เดียงสาของผู้ออกคำสั่ง นายสุรพงษ์จึงต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ปฏิเสธในภายหลังว่า ไม่เคยสั่งให้ทูตสหรัฐฯมาพบ
การจับกุมตัวนายอาทริส ฮุนเซ็น และการค้นพบแหล่งซุกซ่อนวัตถุที่ใช้ทำระเบิดจำนวนมากนั้ นก็ มีพิรูธมากมาย เหมือนกับกรณีจับกุมมือระบิดที่ลาสดกระบัง เมือเดือนที่แล้ว พิรุธนี้ เกิดจากการให้ข้อมูลที่กลับไปกลับมาของ ผู้เกี่ยว้ของ โดยเฉพาะ ร.ต.อ . เฉลิม อยู่บำรุง รองนากรัฐมนตรี และ พลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่ตอนแรกบอกว่า จับตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว สอบสวนแล้ว และจะผลักดันออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่คิดว่า จะก่อการร้าย ยังไมได้ลงมือทำ จึงไม่สามารถตั้ง้ขอหาได้
แต่อีก 3 วันต่อมา หลังจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับเช้าวันที่ 17 มกราคม พาดหัวข่าว บอกบทไว้ล่วงหน้า วางแผงแล้ว พลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ก็นำสื่อมวลชน ไปชมการตรวจค้นแหล่งเก็บปุ๋ยยูเรีย 4 ตัน ที่สมุทสาคร โดยอ้างว่า เป็นการขยายผลจากการสอบสวนนายอาทริส ฮูนเซ็น คราวนี้ ตั้งข้อหานายฮุนเซ็นว่า มีแอมโมเนียนไนเตรต เก็บไว้มากเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต และสั่งควบคุมตัวดำเนินคดี ไม่ผลักดันกลับประเทศแล้ว
คำพูดที่กลับไปกลับมาของ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติแบบนี้ ทำให้ คนอย่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ยังไม่อยากเชื่อเลยว่า นายอาทริส จะเป็นผู้ก่อการร้ายจริง ในขณะที่นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ อดีต เลขา สมช. เตือนตำรวจว่า ไม่ควรโฉ่งฉ่างในการแถลงข่าวผลงานมากเกินไป หากไม่มีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน เพราะจะส่งผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศในอนาคตได้ เพราะในแง่รูปคดียังไม่มีหลักฐานบ่งชัดพอว่าจะมีการก่อการร้ายในไทย และไม่อยากให้ไทยไปอยู่ในความขัดแย้ง
ทวิตเตอร์ ของทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของประชาชนที่ติดตามดูปาหี่ ที่พลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ เล่นเป็นพระเอกตั้งแต่เรื่องจับมือระเบิดที่ลาดกระบังว่า การจับนายอาทริส ฮุนเซ็น ก็เป็นการจัดฉากอีกแล้ว