ผ่าประเด็นร้อน
แม้ต้องหดมือชักกลับออกมาชั่วคราว หลังจากมีเสียงโวยวายเรื่อง “สอดใส้” อาศัยลูกมั่วช่วงชุลมุนน้ำท่วมเสนอพระราชกฤษฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเพิ่มเงื่อนไขครอบคลุมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่มีการวางแผนไว้อย่างเป็นขบวนการ ย่องเข้าทำอย่างเงียบกริบก็ตาม แต่เมื่อไม่เป็นไปตามแผนก็ต้องกลับมาวางแผนกันใหม่
ล่าสุดเจ้าเก่า รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ออกมา ประกาศย้ำอีกรอบว่า เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อพา ทักษิณ กลับบ้านให้ได้ และสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้ก็คือเตรียมที่จะเสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดอง โดยเปลี่ยนชื่อมาจากพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เคยคิดเสนอมาแต่เดิม เหตุผลที่นำมาอ้างก็คือเพื่อลบล้างความผิดให้กับทุกกลุ่มการเมือง ทุกสี
แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดที่ซ่อนอยู่ก็คือ เพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด นั่นแหละ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหลายคนที่ติดตามเรื่องราวอย่างต่อเนื่องก็ต้องรู้ทันอยู่แล้ว ไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากความกันอีก
อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเข้าเรื่องสำคัญ นั่นคือต้องรู้ทันเกมตื้นๆของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ ก็ต้องแยกมาพิจารณาถึงความต้องการของ ทักษิณ ที่เป็น “เจ้าของ” คนพวกนี้เสียก่อน แน่นอนว่าคนอย่างเขาต้องการทำทุกทางเพื่อให้พ้นผิด ได้ทรัพย์สินที่ถูกศาลสั่งยึดไปกลับมา และสุดท้ายต้องกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกรอบ เมื่อมีความปราถนาแบบนั้นก็ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งมีเป้าหมายอยู่สองสามอย่างหลักๆ คือ การออกพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรม(กำลังเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติปรองดอง) พระราชบัญญัติล้างมลทิน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นั่นคือเป้าหมายหลักที่ ทักษิณ ต้องทำ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ หรือบ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วง มีความขัดแย้ง แตกความสามัคคี ไม่ต้องไปสนใจ และเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งสามกรณีดังกล่าว ขึ้นอยู่กับจังหวะและสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร จะทำแบบรวบยอด หรือทีละเรื่องก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ดีในเวลานี้หากพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ถือว่ายังไม่เป็นใจ เนื่องจาก น้องสาวของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่งไปเป็นนายกรัฐมนตรีกลับทำผลงานได้ห่วยแตก ไร้มาตรฐานอย่างไม่น่าเชื่อ สร้างความไม่พอใจให้กับสังคมจากปัญหาน้ำท่วม แม้กระทั่งพวกเดียวกัน ยังกระอักกระอ่วนส่งเสียงเชียร์กันไม่ออก
เมื่อบรรยากาศไม่เป็นใจก็ต้องเริ่มจาก “ง่ายไปหายาก” นั่นคือต้องเริ่มจากการเสนอเป็น “ร่างพระราชบัญญัติ” ซึ่งดูรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ(ปรองดอง) เข้ามาก่อน โดยใช้วิธีการกลบเกลื่อน “อำพราง” อ้างความ “ปรองดอง” ในชาติ ล้างความผิดให้กับทุกกลุ่มการเมือง ทุกสี เพื่อให้ดูดีมีเหตุผล แต่คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือ ทักษิณ นั่นเอง
ขณะเดียวกันวิธีการดังกล่าวยังมีความเป็นไปได้สูง และทำได้รวดเร็วกว่า เพราะใช้เพียงเสียงข้างมากในสภา ซึ่งเวลานี้พรรคเพื่อไทยของเขา กับพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงเด็ดขาด สามารถผลักดันให้เป็นผลสำเร็จได้ไม่ยาก
ถัดมาก็คือ การเสนอร่างพระราชบัญญัติ “ล้างมลทิน” ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสุดยอดปราถนาของ ทักษิณ ด้วยเหมือนกัน เพราะแม้ว่าจะมีการนิรโทษกรรมได้สำเร็จ แต่หากจะกลับมามีอำนาจทางการเมือง หรือกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ ก็ต้องล้างมลทิน ให้เสมือนว่าไม่เคยมีความผิดมาก่อน รวมไปถึงไม่เคยถูกยึดทรัพย์โดยคำพิพากษาของศาลมาก่อน เพื่อให้ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามเสียก่อน นี่แหละถึงได้บอกว่าเป็นหัวใจ
สุดท้าย ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว นาทีนี้อาจไม่จำเป็นสูงสุดก็ได้ เพราะถือว่าเขาได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉลับปี 2550 อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว นั่นคือ เวลานี้พรรคเพื่อไทยสามารถชนะการเลือกตั้ง และคนของตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาล สามารถชี้นิ้วสั่งการรัฐมนตรีได้อย่างเด็ดขาด หากไม่โลภหรือเห็นแก่ได้ในเรื่องทรัพย์สินจนเกินไป ก็ไม่น่าจะเร่งผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาอันไกล้ เพราะไม่ใช่จำเป็นเร่งด่วน
ที่สำคัญความต้องการเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกยึดไปคืนมาแม้จะเป็นจำนวนมาก แต่หากให้แลกกับความเสี่ยงของรัฐบาล การกุมอำนาจรัฐนานๆ เพราะอย่าว่าแต่เงินจำนวนแค่นี้ ต่อให้มากกว่าอีกหลายร้อยเท่า ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่หรือไม่ เพราะการเป็นรัฐบาลสามารถคิดค้น “มหาโปรเจ็กต์” นับหมื่น นับแสนล้านบาทได้ตลอดเวลา สรุปก็คือ หากให้เดาเข้าไปในหัวใจของ ทักษิณ น่าจะเริ่มจาก พระราชบัญญัติ นิรโทษฯ(ปรองดอง) และ พระราชบัญญัติล้างมลทิน เป็นหลัก ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าทำได้ก็ดี แต่ถ้าสถานการณ์ไม่อำนวยก็ไม่จำเป็นรอไปก่อนแบบไม่มีกำหนดก็ได้
ทีนี้มาว่ากันถึงเกมต้มตุ๋น สร้างราคาของ ร.ต.อ.เฉลิม กันบ้าง กับการตีปี๊บว่าจะพา ทักษิณ กลับบ้าน(โดยเอาเปรียบคนอื่น) โดยไม่ต้องรับผิด สำหรับเขาแล้วมีแต่ได้กับได้ ไม่มีขาดทุน มิหนำซ้ำไม่ต้องลงทุนอีกด้วย หนึ่งเป็นการสร้างความประทับใจหวังซื้อใจ ทักษิณ โดยตรง สองยังสามารถสร้างความนิยมในหมู่คนที่รักทักษิณในฐานะที่ “จงใจแสดง” ทำตัวเป็นหัวหอกผลักดันเรื่องนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงเวลาแบบนี้ยังมีผลไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ “เกรดเอ”สักกระทรวง เช่น มหาดไทย ที่เวลานี้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ กำลังหนาวๆร้อนๆมาเป็นบำเหน็จรางวัลตัวเอง แม้จะเป็นเงื่อนไขในแบบให้แต่งตั้งก่อนแล้วจะผลักดันให้ทีหลังก็ตาม
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะเป็น “แอ๊กชั่น” ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในเรื่องดังกล่าวถี่ขึ้น รวมไปถึงการแสดงภูมิความรู้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ทำทุกทางเพื่อให้เข้าตา “นาย” เท่านั้น ไม่สนใจว่าบางครั้งอาจสร้างความ “หมั่นใส้” เนื่องจากไปเหยียบตาปลาพวกเดียวกันก็ตาม แต่เพื่อความก้าวหน้าที่รออยู่ข้างหน้า มันก็ต้องเดินลุยเต็มเหนี่ยว !!