13 ธ.ค. 54 ครม.ภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้ง พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)
ถือเป็นมติ ครม.ที่มีความเสมอต้นเสมอปลายในการต่างตอบแทนให้กับ “ข้ารับใช้”กันอย่างถึงอกถึงใจจริง ๆ และทำอย่างต่อเนื่องนับจาก ยิ่งลักษณ์ เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย
คงไม่ต้องเสียเวลาไปคิดว่า ทำไม ยิ่งลักษณ์ จึงกล้าตีตราประทับให้ พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ หรือ สารวัตรเหยิน อดีตจำเลยฆ่าดาบยิ้มร่วมกับ ดวงเฉลิม (ดวง) อยู่บำรุง ให้ดำรงตำแหน่งที่ถือว่าเป็นถังข้าวสาร สำคัญที่นักการเมืองชั่วชอบใช้เป็นช่องทางทำมาหากิน
การที่ “สารวัตรเหยิน”คนสนิทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ดิบได้ดีคราวนี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นาทีนี้ชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม ในสายตาของ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นหม้อจริง ๆ ส่วนจะเข้าตาของ ยิ่งลักษณ์ ด้วยหรือไม่นั้น คนวงในแอบกระซิบมาว่า ผลงานการเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาเข้าตา "ยิ่งลักษณ์" มิใช่น้อย
เรียกว่าทั้งพี่ทั้งน้องตกลงปลงใจที่จะใช้บริการนักการเมืองหูดับจากฝั่งธนในหลากหลายงานด้วยกัน
1 งานสำคัญคือการเป็นกะดองปูให้ ยิ่งลักษณ์ในสภา
2. เป็นสายจูงพาทักษิณกลับประเทศอย่างไร้มลทิน ด้วยการทำหน้าที่หัวหมู่ทะลวงฟันทำลายหลักนิติรัฐ เหลือแต่ "นิติทำ" คือ แก้กฎหมายเพื่อรับใช้นักโทษชายทักษิณ โดยไม่แคร์ต่อความถูกต้องและความรู้สึกของสังคม
3 เดินหน้าชนทางการเมือง แย่งชิงพื้นที่สื่อรายวัน
4 เป็นนักเขียน ภายใต้เกม “คนชนะคือผู้กำหนดกติกาและเขียนประวัติศาสตร์"
ภารกิจ 3 ข้อแรก คนไทยได้เห็นลีลาและบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม จนเบื่อขี้หน้ามาตลอดเกือบสี่เดือน. และต้องทนดูต่อไปตราบใดที่ประเทศไทยยังอยู่ในยุค "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน"
สำหรับภารกิจที่ 4 ถือเป็นงานช้างที่นอกจากต้องอาศัยจินตนาการของอดีตนายตำรวจมือปราบมาเสกสรรปั้นแต่งแล้ว ยังต้องประกอบกับความใจถึงในการทำเรื่องสุ่มเสี่ยงด้วยจึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ
ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม จะมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถัวนหรือไม่ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ คงมีคำตอบในการเลือกใช้คนเรียบร้อยแล้ว
ด๊อกเตอร์ทางกฎหมายเริ่มงานชิ้นแรกด้วยการแปรสภาพตึกบัญชาการเป็นโรงงานน้ำแข็งภายในเวลาข้ามคืน ด้วยการออกมาระบุว่า "ไม่มีชายชุดดำในเหตุการณ์สมรภูมิคอกวัววันที่ 10 เมษายน"
ตามติดมาด้วยการพลิกลิ้นหน้าตาเฉยว่า "มีชายชุดดำแต่ไม่ใช่ทหารเป็นนายตำรวจจากบุรีรัมย์"
จากนั้นก็ปูดข่าวต่อว่า "ตำรวจเป็นคนยิงเสธ.แดง-พล.ต.ขัตติยะ เจริญผล"
ไม่เพียงแค่นั้นยังมีการระบุลึกลงไปราวกับมีตาทิพย์ว่า "อาวุธที่ใช้ปลิดชีพเสธ.แดงเป็นของตำรวจนครบาล"
แค่นี้ก็พอจะส่งกลิ่นให้จับได้แล้วว่าเป้าประสงค์ของ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องการให้หน้าประวัติศาสตร์การเมืองในวันที่ก่อการร้ายแดงก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเป็นไปในทิศทางที่ "แดงคือนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ถูกรัฐบาลประชาธิปัตย์สร้างสถานการณ์ล้อมปราบอย่างโหดเหี้ยม"
ความจริงสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิม ทำก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่แปลกใหม่อะไร เพราะพฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นสิ่งที่ ทักษิณและพวกทำมาตั้งแต่การวางแผนให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจแต่ยากที่จะปกครอง ไปจนถึงการใช้มวลชนและกองกำลังบีบให้เกิดความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การกดดันให้เบื้องบนลงมาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองโดยใช้ "พฤษภาโมเดล" มาเป็นแบบอย่าง
เหล่านี้ล้วนเข้าลักษณะ "เขียนบทล่วงหน้าแล้วกำหนดสถานการณ์ให้เดินไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ" ตามยุทธศาสตร์ถนัดของกุนซือซ้ายในค่ายทักษิณ
บทละครการเมืองต่อไปที่กำลังเข้มข้น คือ การลาก อภิสิทธิ์ และสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าคุกในข้อหาสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งงานนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ลงทุนวางหมากติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด ถึงขนาดเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนใหม่ จากเดิมที่มี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน เป็นหัวหน้าชุดมาเป็น พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมารับหน้าเสื่อแทน
แถมยังดึงเอา พ.ต.อ.วัลลภ ปทุมเมือง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 ว่าที่ผู้บังคับการตำรวจนครบาล2 มาเป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดพิเศษ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่เกิดเหตุมาร่วมรับจ๊อบนี้ด้วย
ที่ต้องเอ่ยชื่อ พ.ต.อ.วัลลภ ก็เพราะเป็นตัวจี๊ดที่ถูกวางให้มาประกบ อภิสิทธิ์ - สุเทพ โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นคนเดียวที่ยิงคำถามในลักษณะที่ชัดเจน ปักธงมาจากบ้านที่จะลาก อภิสิทธิ์-สุเทพเป็นผู้ต้องหาสั่งฆ่าประชาชนให้ได้
สาเหตุที่ทำให้ พ.ต.อ.วัลลภ รับอาสาทำงานนี้ก็เพราะมีคนใหญ่ในรัฐบาลที่ชอบปั้นน้ำแข็งรายวันสัญญาว่าจะให้เป็น “นายพล” หากปฏิบัติภารกิจได้ตามเป้าหมาย
งานหลักจัดให้นายที่ พ.ต.อ.วัลลภ ทำจนเข้าตา ร.ต.อ.เฉลิม คือ การรายงานความคืบหน้าตรงถึง ร.ต.อ.เฉลิม ด้วยวิธีฉายพาวเวอร์พ๊อยต์ จนเป็นที่เอือมระอาของพนักงานสอบสวนด้วยกัน
เพราะในกลุ่มพนักงานสอบสวนเองก็ยังมีความเห็นแย้งกันในทางกฎหมายป.วิอาญา มาตรา 150 วรรค สาม ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่...ให้พนักงานอัยการทำคำร้องให้ศาลไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อไหร่ และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้ทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับสำนวน ถ้าจำเป็นขยายได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน
โดยบางส่วนมองว่ากรณีนี้ไม่เข้าข่ายที่จะส่งให้ศาลไต่สวน เนื่องจากตามกฎหมายจะต้องมีความชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่รัฐยอมรับว่ามีการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้มีผู้เสียชีวิต แต่กรณีนี้ไม่มีเจ้าหน้ารัฐรายใดทั้งทางตรงและทางอ้อมยอมรับว่ามีการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายที่จะส่งให้ศาลไต่สวนได้
และที่ผ่านมาในประว้ติศาสตร์การไต่สวนกรณีมีการเสียชีวิตที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐก็ล้วนแต่มีเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าได้ปฏิบัติหน้าที่จนมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งในเรื่องนี้หัวหน้าพนักงานสอบสวนคนเดิมคือ พล.ต.อ.อำนวย นิ่มมะโน ก็ได้บันทึกความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วย
การระดมพนักงานสอบสวนมาเป็นนักเขียนประวัติศาสตร์บิดเบือนความจริงเหตุการณ์แดงเผาเมืองตามวาทกรรมที่ว่า "รัฐบาลล้อมปราบประชาชนที่ไม่มีอาวุธ" นั้น คงไม่ง่ายเหมือนการเลี้ยงแกะในทำเนียบรัฐบาล
เพราะข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ชัดเจนว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ได้อยู่ในกรอบของกฎหมาย มีการยิงใส่เจ้าหน้าที่ ฆ่าทหาร ตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ปรากฏต่อสาธารณะชัดเจนและมีหลายคดีที่ศาลตัดสินลงโทษผู้ต้องหาไปแล้ว อีกทัั้งองค์กรอิสระอย่าง ปปช.ก็กำลังตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
การจะบิดจากขาวเป็นดำ เปลี่ยนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จากโจรมาเป็นพระเอก อาจกลายเป็นศรย้อนกลับมาทำลายรัฐบาลอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม คาดไม่ถึง
ความล่มสลายในเชิงอำนาจ นอกจากจะเกิดจากปัญหาการทุจริต คอรัปชั่นแล้ว การลุแก่อำนาจบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เผด็จการประชาธิปไตยที่ชอบใช้อำนาจมากกว่าใช้ธรรมเป็นอำนาจ ได้รับบทเรียนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมานักต่อนักแล้ว