“ประยุทธ์” ให้ความเป็นธรรมทหารเอี่ยวคดี 13 ศพลูกเรือจีน ลั่นไม่อุ้มทหารผิดพร้อมลงโทษหนัก วอนใจเย็นๆ รอผลตัดสิน ฮึ่ม สมช.ใช้ผลประชุมเลิก “อัยการศึก” ไม่ได้ ชี้เป็นเรื่องต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยัน “อัยการศึก” ยังจำเป็น ด้านกลาโหมพร้อมให้ข้อมูลช่วยตำรวจสนับสนุนรูปคดี วอนอย่าเพิ่งใจร้อนสรุปใครผิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของลูกเรือจีน 13 ศพว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องสืบสวนกันต่อไป ตนทราบมาตั้งแต่ต้นว่า เป็นข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่จะลงไปในรายละอียด กองทัพบกให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนในการเข้าไปรายงานตัว และชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่มีข้อมูลหลักฐานอยู่ ส่วนจะจริงหรือไม่อย่างไรเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะสอบสวน หากผิดต้องถูกลงโทษ หากลงโทษต้องลงโทษสถานหนัก หรือจะเป็นคดีอาญาก็ว่ากันไป กองทัพบกได้กำหนดนโยบายชัดเจนว่า การป้องกันประเทศที่เป็นภารกิจหลักจะต้องทำอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการรักษาอธิปไตย ป้องกันภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ ตามแนวชายแดน ไม่ได้เพียงกำลังข้าศึกเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาแรงงานต่างด้าว ยาเสพติด การบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า เราจึงจำเป็นต้องมีหลายหน่วยงานมาทำงานร่วมกัน
“เราต้องแยกประเด็น ถ้าเป็นความบกพร่องส่วนบุคคลก็จะต้องดำเนินการทางกฎหมาย แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของทหารทั้งหมด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย หากเขาคิดว่า เขาทำถูกก็ชี้แจงมา แต่ถ้าชี้แจงไม่ได้ แล้วตัดสินว่า ผิดก็คือผิด เราคงช่วยอะไรเขาไม่ได้ ขอ ให้รอหน่อย ใจเย็นๆ ตอนนี้คิดว่าจะต้องทำอย่างไรไม่ให้ประเทศชาติเสียหาย และต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่หากเขาทำไม่ถูกต้องเราก็ไม่ช่วย เพราะเราไม่เคยสอนให้ใครทำผิดกฎหมาย อย่าเพิ่งลงความเห็นว่าอะไรถูกหรือผิด ต้องรอฟัง ตอนนี้ในรายละเอียดไม่มีใครตอบได้ ทั้งหมดต้องไปสู่ในกันในขั้นศาล ผิดก็ว่าผิด ผมคงไปต่อต้านไม่ได้ ถ้ามีความผิดก็ปลด ไล่ออก ดำเนินคดีอาญา ที่ใดก็ตามหากทหารทำผิดกฎหมายก็จะถูกลงโทษ ไม่มีการช่วยเหลือ เพราะถือเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติ เขามอบหมายมาให้เราทำงาน ดังนั้นเราต้องซื่อสัตย์สุจริต” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างทหารกับตำรวจหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทหารไปอยู่ในพื้นที่มีอิทธิพลไม่ได้ เราทำงานในลักษณะเปิด ไม่ใช่ไปแบบกองกำลังลับ การทำงานไม่ปิดลับ จะมองเห็นว่าใครทำอะไร ทำผิดคือผิด แก้ตัวอะไรไม่ได้ ตนยังไม่บอกว่าใครผิดหรือถูก ขอให้เวลานิดหนึ่ง แต่เราเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อการแก้ปัญหา เพราะจะมีผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศมหาอำนาจ ส่วนการทำงานของเราจะทำให้ใครเสียผลประโยชน์หรือไม่ตนไม่ทราบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะเตรียมยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ที่มีปัญหานั้น ตนไม่ได้มีส่วนเข้าไปประชุมดังกล่าว เท่าที่ตนทราบเป็นการหารือระหว่างตำรวจกับสมช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตาม สายงานพลเรือน แต่รายละเอียดไม่ทราบ เพราะตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่ที่ประชุมมีการพูดกันในเรื่องนี้ ทั้งนี้ รมว.กลาโหมสั่งการชัดเจนว่า การยกเลิกหรือไม่ คงไม่ใช่เฉพาะเป็นการประชุมของหน่วยงานย่อยๆเท่านั้น เพราะต้องมีการหารือกันในสภากลาโหม เพราะต้องมีทุกหน่วยงานเข้าไปเกี่ยวข้อง การยกเลิกกฎอัยการศึกเป็นเรื่องที่จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา คงใช้คำสั่งในการประชุมยกเลิกไม่ได้ แต่คิดว่าทาง สมช.ยังไม่ได้ประกาศยกเลิก เพียงแต่เสนอความคิดเห็นมา ส่วนความคิดเห็นต่างๆ จะทำได้หรือไม่ จะต้องมาเข้าสู่กระบวนการหลายขั้นตอน ประเทศไทยมีอำเภอชายแดน ร้อยกว่าอำเภอที่ประกาศกฎอัยการศึกอยู่ ซึ่งเรามีการหารือกันบ้างแล้วว่า จะมีการลดการประกาศใช้อัยการศึกในพื้นที่ใดบ้าง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความล่อแหลมน้อยลง
“แม้ว่าภัยสงครามในพื้นที่หมดไป แต่ปัจจุบันมีภัยเรื่องอื่นทั้งยาเสพติด ตัดไม้ทำลายป่า อาชญการรมข้ามชาติที่มีอยู่ หากจะใช้กฎหมายของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่มีอยู่อาจมีปัญหาด้านการ ปฏิบัติงานและไม่ครอบคลุม จึงจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึกอยู่ เรื่องนี้มีการหารือหลายครั้ง และในหลายรัฐบาล การแก้ไขปัญหาอยากให้ดำดำเนินไปอย่างมีการบูรณาการ การทำงานไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะมีกฎอัยการศึกแล้วจะมีแค่หน่วยทหาร แต่หน่วยอื่นเข้าไม่ได้ แต่ เป็นเรื่องว่า เมื่อมีเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ใครจะเป็นผู้บังคับบัญชาและสั่งการ หรือใครเป็นผู้ควบคุม หรือตัดสินใจ แต่ในทางปฏิบัติทุกส่วนราชการได้ประสานงานกัน ทั้งตำรวจ พลเรือนทำงานร่วมกันไม่มีปัญหา แต่กรณีนี้ไม่ได้เป็นความผิดของกฎอัยการศึก การแก้ไขปัญหาจะมีผลกระทบต่อการป้องกันระหว่างประเทศเราต้องคำนึงถึงอธิปไตย ของประเทศ ทั้งนี้เป็นเรื่องของกลาโหม กองทัพไทย ต้องหารือกัน กองทัพบกไม่ขัดข้อง และไม่เคยขัดข้องอะไรทั้งสิ้น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการในการแก้ปัญหา” ผบ.ทบ.กล่าว
ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมว่า ในที่ประชุม รมว.กลาโหม ให้ความสนใจมากเกี่ยวกับกรณีลูกเรือชาวจีนเสียชีวิต 13 ศพ โดยเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ เป็นผู้ดูแลคดีความอยู่ ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ต่อรูปคดีทั้งหมดในการให้ข้อมูลทุกอย่าง หากมีการร้องขอมายังกองทัพบก ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมในการสืบสวนรูปคดีใครผิดก็จะต้องว่าไปตามความผิด หากพบว่ามีการปฏิบัติจริงก็จะต้องลงโทษตามกระบวนการของกฎหมาย
“กระทรวงกลาโหมขอยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้นต่อกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ รมว.กลาโหม ให้ความสำคัญในเรื่องของความเป็นธรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย และเรื่องดังกล่าว รมว.กลาโหมก็ให้ไปดูเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ และการรักษาอธิปไตย หากมีความจำเป็นจะต้องประสานงานกับทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประสานงานกัน อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันนายทหารที่มีข่าวว่าเข้าไปเกี่ยวข้องได้ถูกเรียกสอบสวนหมดแล้ว และคดีดังกล่าวเบื้องต้นได้โอนถ่ายให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่งต่อให้กับทางอัยการสูงสุด ก่อนที่จะให้ทางตำรวจภูธรภาค 5 รับไปดูแลในเรื่องนี้ ส่วนกองทัพบกไม่มีการตั้งคณะกรรมการใดขึ้นมา เพียงแต่ว่าจะไม่มีการช่วยเหลือ แต่หากมีข้อมูลร้องขอมายังกองทัพบกก็จะมีข้อมูลสนับสนุนให้ทุกอย่าง” พ.อ.ธนาธิประบุ
พ.อ.ธนาธิปยังกล่าวอีกว่า นายทหารที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องขณะนี้ยังไม่ได้มีการตั้งข้อหา หรือ เป็นผู้ต้องหา เพียงแต่เรียกไปสอบสวนเท่านั้นเอง เพราะการปฏิบัติเราคงเป็นไปตามวิถีของตำรวจ หากตั้งเป็นผู้ต้องหาแล้วจะต้องถูกควบคุมตัว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผบ.ทบ.ได้บอกว่าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย โดยขณะนี้มีนายทหารกรมพระธรรมนูญดูแลเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้เรื่องนี้จะไม่มีการจับแพะ เพราะเป็นคดีความที่ทางประเทศจีนให้ความสำคัญ และ รมว.กลาโหมก็ได้มีการประสานงานตลอด โดยเฉพาะจะต้องรอผลการประชุมของ สมช. ที่เดินทางไปประชุมที่ประเทศจีน โดยมี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขา สมช. เป็นหัวคณะของฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุม 4 ฝ่าย โดยมีประเทศไทย จีน พม่า และ ลาว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อย่าเพิ่งใจร้อนว่าหน่วยที่ปฏิบัติเป็นผู้กระทำความผิดจะต้องให้ความเป็นธรรม เพราะที่ผ่านมาการปฏิบัติไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งตำรวจ หรือ ประเทศเพื่อนบ้าน
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เผยว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา การประชุมของ สมช.เป็นการประชุมไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปร่วมประชุมด้วย ซึ่งผลการประชุมมีการลดอำนาจหน้าที่ต่างๆ ทำให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์จะต้องนำเรื่องนี้มาหารือกันอีกครั้ง เช่นกรณีการประกาศให้ยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ ซึ่งจะต้องดูความสำคัญ และ ล่อแหลมในพื้นที่เชียงแสนเป็นอย่างไรบ้างในพื้นที่ที่ทหารรับผิดชอบอยู่ใน 9 กิโลเมตร ในพื้นที่ลำน้ำโขงถือว่าเป็นพื้นที่สำคัญ หากมีการลดบทบาทการทำหน้าที่ของทหารไปแล้วปัญหาความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ในการดูแล ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางทหารกองกำลังผาเมือง ไม่มีปัญหาต่อการดูแลร่วมกับตำรวจ หรือ หน่วยปฏิบัติการลุ่มแม่น้ำโขงของกองทัพเรือ ทั้งนี้หากยกเลิกกฎอัยการศึกจะทำให้อำนาจของทหารที่เข้าไปดูแลในพื้นที่อาจจะไม่เต็มที่ เพราะปัญหาความมั่นคงมีมาก โดยเฉพาะคนที่จะลักลอบเข้ามา ปัญหายาเสพติดที่เป็นหัวใจสำคัญ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่จะต้องประสานงานกับประเทศพม่า ลาว และจีน อย่างไรก็ตาม เรื่องทหารควรให้ทหารเข้าไปร่วมประชุม และให้ข้อคิดเห็นร่วมกันกับทาง สมช. ทั้งนี้ การประชุม สมช.ที่ผ่านมาไม่ได้มีการรับรองผล และไม่ทราบว่าจะเป็นการลดบทบาทของทหารหรือไม่ แต่หากไม่มีกฎอัยการศึกจะมีการปัญหาในเรื่องการดูแลชายแดนโดยเฉพาะรักษาอธิปไตยของประเทศ