กมธ.ฝ่ายค้านติงรัฐ ทำงบฯ บนฐานตัวเลขจีดีพีเดิม เป็นงบในจินตนาการ ขณะวิกฤติน้ำท่วมทำจีดีพีหายถึง 2% รวมความสูญเสีย 1 ล้านล้านบาท ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ ด้านปลัดฯ คลังยกอัตราเติบโตปี 55 มาอ้าง คาดโต 5% จากโครงการซ่อมแซมประเทศ ส่งผลคลังเก็บรายได้ 1.98 ล้านล้านตามเป้า
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (กมธ.งบประมาณฯ) ที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ฐานะรองประธาน กมธ.คนที่ 2 เป็นประธาน เริ่มพิจารณาลงรายละเอียดของตัวเลขงบประมาณรายหน่วยงาน เป็นครั้งแรก โดยการประชุมดังกล่าวได้เริ่มพิจารณางบประมาณของกระทวงการคลัง จำนวน 2.08 แสนล้านบาทเป็นกระทรวงแรก ซึ่งคณะกรรมาธิการได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงประสบปัญหาอุทกภัย โดยกระทรวงการคลังมีการปรับตัวเลขการเจริญเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจลงหรือไม่ จากเดิมที่คาดไว้ประมาณ 4.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขก่อนที่จะมีวิกฤตน้ำท่วม
นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะกรรมาธิการ ซีกฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าการทำงบประมาณดังกล่าว ยังยึดตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตของจีดีพี 4.5 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในอนาคต เพราะมีการประเมินการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเกินจริง เพราะข้อเท็จจริงคือภาคอุตสาหกรรมและภาคเอกชนส่วนใหญ่ ต้องใช้เวลาฟื้นตัวจากผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นเวลานาน
นายพิเชษฐกล่าวอีกว่า วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์ความสูญเสียออกมาเป็นตัวเลขมากถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งวันนี้มีสิ่งประชาชนเห็นกับตา คือ มีรถยนต์จมน้ำกว่า 5 แสนคัน และบางคันราคาหลายล้านจมน้ำ ซึ่งหากพ้นวิกฤตน้ำแล้ว ราคารถคาดว่าจะเหลือไม่ถึงแสนบาท หรือเป็นเพียงแค่ซากรถ แต่หากจะซ่อมเฉลี่ยแล้วต้องมีเงินซ่อมคันละกว่า 2 แสนบาท นอกจากนั้นแล้ว มีบ้านที่มีสภาพจมน้ำไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท และหากน้ำลดแล้วคิดว่าต้องมีค่าซ่อมแซมไม่ต่ำกว่าหลังละหมื่นบาท นอกจากนั้น พื้นที่เกษตรเสียหาย เกษตรกรได้รับผลกระทบ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประเมินตัวเลขความเสียหายดังกล่าว ที่คาดว่าจะกระทบต่อตัวเลขจีดีพีไว้หรือไม่ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาพรวมของประเทศดังกล่าว เชื่อว่าจะกระทบต่อการใช้จ่ายเงินของประชาชนด้วย
“เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่ต้องรักษาวินัยการคลังไว้ ฐานะข้าราชการต้องรับผิดชอบกับส่วนรวม แม้จะปฏิเสธการกำหนดกรอบงบประมาณ หรือการจัดเก็บภาษีที่มาจากฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ ทางกรรมาธิการขอข้อมูลเพื่อพิจารณาด้วย ไม่ใช่เป็นตัวเลขที่มาจากจินตนาการ หรือเป็นงบประมาณมายา อย่างไรก็ตาม ผมเป็นห่วงว่าหากปลายปี 2555 ทางกรมสรรพากรไม่สามารถเก็บรายได้ได้ตามเป้า อาจเป็นเหตุให้ปลดข้าราชการระดับสูงในส่วของกระทรวงการคลังได้” นายพิเชษฐกล่าว
นอกจากนี้ กมธ.ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการแก้ไขการทุจริตจัดเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ อาทิ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะกมธ.สอบถามว่า กระทรวงการคลังมีวิธีจัดการกับบุคคลที่โกงภาษีอย่างไร เพราะขณะนี้ตนทราบพร้อมมีหลักฐานการนำเข้ารถที่จดทะเบียนว่าเป็นรถจดประกอบ เช่น รถยี่ห้อนิสสัน รุ่นคิวบ์ ที่ราคาเดิมอยู่ที่คันละ 1.5 ล้านบาท แต่การซื้อขายจริงอยู่ที่ 6 แสนบาทต่อคัน โดยมีวิธีการคือ ซื้ออะไหล่แยกส่วนจากประเทศญี่ปุ่นแล้วนำมาประกอบในโรงงานไทย ซึ่งวิธีการดังกล่าวทำให้รัฐสูญเสียรายได้
จากนั้น นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ก่อนเกิดน้ำท่วมมีการประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งปีเอาไว้ที่ 4.5 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมได้ประเมิณว่าจีดีพีหายไปประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจะโตเพียง 2.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.9 เปอร์เซ็นต์ สำหรับในปี 2555 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจโต 5 เปอร์เซ็นต์ ตรงกับการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินตรงประมาณ 4เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ขณะที่เศรษฐกิจโลกในปี 2555 ประมาณการณ์ว่าจะโตราว 3.5 เปอร์เซ็นต์
“ผมมั่นใจว่าปี 2555 เศรษฐกิจไทยโตได้ 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะนโยบายของรัฐบาลในการซ่อมแซมประเทศจากภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพลิกฟื้น ได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นนโยบายของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย ที่จะมีโครงการที่เน้นการลงทุนเพื่อวางระบบการจัดการน้ำจำนวนมากภายในปี 2555 และอย่าลืมว่านโยบายของรัฐบาลในส่วนขึ้นค่าแรง และค่าจ้างขั้นต่ำที่อนุมัติไปแล้วด้วยจะมีส่วนช่วยให้ภาคเศรษฐกิจมีการขยายตัวต่อเนื่อง” นายอารีพงศ์กล่าว
ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวต่อว่า ภาพที่ กมธ.งบประมาณฯ เห็นว่าประเทศไทยพังไปมาก เพราะ 7 นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถูกน้ำท่วม แล้วจะกระทบต่อการเก็บภาษีของประเทศ แต่ตนขอแจ้งข้อเท็จจริงว่าประเทศไทยมีการโครงการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อยู่และมีการดำเนินการไปบ้างแล้ว ส่วนความกังวลเรื่องของค่าซ่อมแซมบ้านเรือนนั้น ตนยืนยันว่าจะไม่กระทบ เพราะขณะนี้มีงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2554 ที่สามารถผันมาซ่อมแซมด้านดังกล่าวได้ ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท
“เชื่อว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) จะมีการเสนอโครงการที่ต้องลงทุนเพื่อวางระบบการจัดการน้ำจำนวนมากภายในปี 2555 โดยจะมีการกันเงินส่วนหนึ่งเอาไว้เพื่อดำเนินโครงการ ทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะมีการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแม้ว่าจะเป็นการกู้เงินก็ตาม แต่การกู้เงินต้องเป็นการนำไปเพื่อลงทุนไม่ใช่ไปใช้จ่ายในส่วนรายจ่ายประจำ” นายอารีพงศ์กล่าว
นายอารีพงศ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการคาดการณ์การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2555 จำนวน 1.98 ล้านล้านบาทไม่ได้ทำเกินจริงและไม่ได้เป็นทำงบประมาณมายา เพราะปรากฏว่าตัวเลขการจัดเก็บรายได้ถึง ณ เดือน ก.ย. 2554 อยู่ที่ 1.89 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จึงคิดว่ากระทรวงการคลังจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามตัวเลขที่กำหนดได้
“ศักยภาพของประเทศไทย ณ วันนี้ต่างจากประเทศในยุโรป เพราะประเทศดังกล่าวฐานเศรษฐกิจตั้งอยู่บนการไม่มีวินัยมานานแล้ว ผิดกับไทยที่มีวินัยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐวิสาหกิจหรือรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ดังนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะเกิดเหตุการณ์วิกฤติหนี้เหมือนในยุโรป ประกอบกับตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 40% ของจีดีพี ซึ่งถือว่ามีความแข็งแกร่งและศักยภาพในการกู้เงินได้” นายอารีพงศ์กล่าว