ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้บอกได้คำเดียวว่า “ต้องหนีเอาตัวรอด” เอาไว้ก่อนสำหรับพี่น้องในพื้นที่วิกฤต พื้นที่ที่น้ำทะลักเข้าท่วม ล่าสุดเกิดขึ้นที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ พื้นที่เศรษฐกิจชั้นในไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้ว ทำให้เห็นภาพการอพยพของชาวบ้านเป็นที่โกลาหล ไม่ต่างจากที่พระนครศรีอยุธยาก่อนหน้านี้
ได้เห็นการอพยพของคนไข้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในตัวจังหวัด ภาพคนแก่ เด็ก คนพิการ ที่ต้องรีบหนีเอาตัวรอดก่อนที่ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าภาพโกลาหลแบบนี้น่าจะต้องเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ที่เหลืออยู่ เช่น ปทุมธานี นนทบุรี รวมไปถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจ “ไข่แดง” ศูนย์กลางทางราชการของประเทศ ก็อาจจะต้องเจอบรรยากาศแบบเดียวกันในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้
และแนวโน้มก็มีความเป็นไปได้สูง หากพิจารณาจากปริมาณน้ำที่กำลังไหลทะลักเข้ามาแบบ “เหนือการควบคุม” อยู่ในขณะนี้ เพียงแต่กำลังลุ้นกันอยู่ว่าจะใช้เวลาไหลบ่ามาถึงใช้เวลากี่ชั่วโมงเท่านั้น
สำหรับชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงตลอดรายทางที่น้ำไหลผ่าน เวลานี้ก็ต้องบอกว่า “รอรับชะตากรรม” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถือว่ามาตรการในการป้องกัน “ล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงปริมาณน้ำในปีนี้ก็ต้องยอมรับว่า มากเกินปกติจริงๆ โดยเฉพาะน้ำที่เหนือเขื่อนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กอยู่ในระดับที่ล้นทั้งสิ้น จนต้องมีการระบายไหลลงท้ายเขื่อนแบบ “ฉุกเฉิน” ทั้งสิ้น ซึ่งสาเหตุก็มาจากพายุฝนที่พัดกระหน่ำเข้ามาติดๆ กันหลายลูกดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และจนถึงบัดนี้ฝนก็ยังเทกระหน่ำลงมาไม่หยุด สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นเป็นทวีคูณ
สำหรับความเสียหายก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าเคยประเมินความเสียหายเอาไว้ว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.2แสนล้านบาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ถดถอยไม่น้อยกว่าร้อยละ 1-1.3 ซึ่งนั่นเป็นการคาดการณ์ในช่วงที่น้ำทะลักเข้านิคมอุตสาหกรรม “สหรัตนนคร” เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนเท่านั้น แต่เมื่อวานนี้ (10 ตุลาคม) น้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรม “โรจนะ” ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่กว่าเรียบร้อยแล้ว เท่าที่เห็นในภาพเป็นความเสียหายของโรงงานประกอบรถยนต์ฮอนด้าที่มีทั้งรถที่ประกอบเสร็จแล้วและยังไม่เสร็จเรียบร้อยจมน้ำอยู่นับร้อยคัน ไม่นับเครื่องจักรที่ต้องเสียหายตามโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ในนิคมฯ เดียวกันอีกนับร้อยโรงงาน เฉพาะที่เดียวมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทเข้าไปแล้ว
หากจะบอกว่าเป็นความเลวร้ายจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยต้องประสบพบเจอในลักษณะที่เรียกว่าทำลายสถิติจากปีก่อนๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติเพียงแค่นี้ ตรงกันข้ามกลับขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ถามว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวสามารถ “บรรเทา” เบาบางลงได้หรือไม่ เพราะนาทีนี้ไม่ต้องมาพูดเรื่องการป้องกันความเสียหายกันแล้ว คำตอบก็คือทำได้ แต่ปัญหาเป็นเพราะเรามีรัฐบาล มีรัฐมนตรี มีผู้นำคือนายกรัฐมนตรีที่ “ไม่เอาไหน” ไม่มีความพร้อมที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองทั้งในยามปกติและวิกฤติ แต่เข้ามาเป็นรัฐบาลเพียงเพื่อปกป้องและช่วยเหลือคนในครอบครัวของตัวเองเท่านั้น ซึ่งสภาพที่เป็นอยู่ทำให้บันดาลโทสะต้องชี้หน้าด่ากันแบบนี้จริงๆ
เพราะถ้าพิจารณากันตามความเป็นจริงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ มันเกิดขึ้นมานานนับเดือน หรือสองเดือนเป็นอย่างน้อย เริ่มตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดวิกฤต หรืออย่างน้อยเมื่อพิจารณาจำนวนปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเหนืออ่างเก็บน้ำ มีสภาพน้ำป่าดินโคลนถล่มมาอย่างต่อเนื่อง ในหลายพื้นที่ เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้านานหลายสัปดาห์ แต่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งในที่นี้ต้องรวมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วยในฐานะที่เป็น “เจ้าของ” เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลนี้ทั้งหมดกลับไม่เคยใส่ใจ
ที่ผ่านมาหากพิจารณากันเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าที่น้ำเริ่มทะลักเข้ามาจ่อที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่รู้สึกรู้สา มัวแต่ไปตั้งคณะกรรมการอะไรก็ไม่รู้ สะเปะสะปะ แทนที่จะรวบรวมหน่วยงานแล้วรวมศูนย์บัญชาการให้คล่องตัว ทันท่วงที แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายจนเกินความควบคุมแล้วถึงจะมีการตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาอุทกภัย” (ศอภ.) ขึ้นมา และแทนที่ตัวเองจะลงมาบัญชาการอย่างเป็นทางการ กลับตั้งระดับรัฐมนตรีขึ้นมาควบคุม ทั้งที่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน และศูนย์ดังกล่าวในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่ประสานงานสั่ง “อพยพชาวบ้าน” เท่านั้น และบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความโกลาหล ไร้ระเบียบ เนื่องจากไม่ได้เตรียมแผนเอาไว้ก่อน
สภาพโกลาหลจากการอพยพหนีตาย และความหวั่นวิตกของชาวบ้านในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่กำลังเกิดขึ้นจนต้องมีการ “กักตุน” สินค้ากันจ้าละหวั่นอยู่นั้น เป็นเพราะไม่เชื่อมั่นในมาตรการของรัฐบาล เพราะดูอาการแล้วมันเป็นแค่ “ของปลอม” ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ไปจนกระทั่งนายกรัฐมนตรี ชาวบ้านก็ต้องเจอกับชะตากรรมที่ “แสนทราม” อยู่ในเวลานี้ไงล่ะ!!