“สนธิ” ชู “สตีฟ จ็อบส์” เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ในแง่ที่ว่าตายไปแล้วแต่ผลงานจะยังถูกจดจำไปตลอด ชี้ หากผู้นำประเทศเลียนแบบวิธีการทำงานชาติไม่ล่มจมแน่นอน พร้อมหวังเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่พันธมิตรฯทำนั้นถูกต้อง เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง “จ็อบส์” เคยถูกมองว่าเป็นเหตุทำให้ยอดขายแอปเปิลตก
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนเคาะข่าว"
วันที่ 6 ต.ค.เมื่อเวลา 20.30 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
ต่อข้อถามที่ว่า หลังจาก สตีฟ จ็อบส์ จะจากไป แอปเปิล จะสูญสลายไปในที่สุดหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งที่ สตีฟ จ็อบส์ ทำให้กับวงการนี้ คือ เหมือนเขาสร้างบ้าน ลงรากฐานไว้หมด คนที่อยู่ในแอปเปิลมีปัญญาที่จะมองไกลเกินกว่านี้หรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไป แต่ถ้าแอปเปิ้ลไม่สามารถสร้างยอดสูงๆ ต่อไปได้ มันก็ยังมีฐานส่วนอื่นที่ยังแข็งแรงอยู่ ที่คนอื่นมาสร้างต่อขึ้นไปได้ สตีฟ จ็อบส์ คือ ผู้ริเริ่ม ผู้บุกเบิก และผู้เตรียมการทุกอย่าง เพื่อให้คนอื่นเข้ามาต่อยอดได้ทันที
ตนมองอย่างประเภทสุดโต่ง ว่า เขาคือพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง แต่ไม่ใช่เซนส์ของพระพุทธเจ้า อย่าเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าท่านเห็นธรรม ท่านเห็นเรา พระพุทธเจ้าตายไปแล้ว แต่ธรรมะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ สตีฟ จ็อบส์ ตายไปแล้ว แต่เมื่อไหร่ใครถือไอโฟน ไอแพด หรือเอชทีซี หรือว่าซัมซุง ก็ต้องรู้ว่านี่แหละ สตีฟ จ็อบส์ ที่คนอื่นเอาไปเลียนแบบหมดเลย
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ถ้าผู้บริหารทุกประเทศเลียนแบบ สตีฟ จ็อบส์ ชาติบ้านเมืองจะไม่ล่มจม ล่มสลาย ข้อแรกเขาเป็นนักคิดค้นนวัตกรรม แสดงว่าอะไรก็ตามที่เป็นรูปแบบเก่าๆแล้วมันไม่ดีพอ เขาไม่ยอมรับ ก็ต้องทำให้ดีกว่า คิดเพื่อให้ดีกว่า ฉะนั้นผู้นำประเทศหรืออย่างประเทศไทย ถ้ามองประเทศไทยตรงไหนไม่ดีเขาต้องเปลี่ยนแล้ว ระบบภาษีไม่ยุติธรรมเขาต้องหาทางเปลี่ยน ระบบธนาคารถ้าไม่ยุติธรรมกับคนชนชั้นกลาง ส่วนต่างของดอกเบี้ย เงินฝากกับเงินกู้ต่างกันตั้ง 7% มากเกินไป เขาต้องเปลี่ยนให้เหลือ 3%
สอง มีความศรัทธาในการทำ สตีฟ จ็อบส์ เขาเชื่อมั่น ศรัทธา ถ้านักการเมืองไทยหรือผู้บริหารของชาติไหนก็ตามมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำ ทำให้ส่วนรวมไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนายอภิสิทธิ์ เพื่อให้มีอำนาจต่อ แต่เขากำลังจะทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคนอยู่ดีกินดี ได้รับความยุติธรรมทั่วหน้า ลูกหลานคนไทยจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียม ถ้าอย่างนั้นเขาจะคิดแบบสตีฟ จ็อบส์ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำถูก เพราะมันจะเป็นวิวัฒนาการปฏิวัติวงการโทรคมนาคม
อีกอย่าง สตีฟ จ็อบส์ ทำงานแบบเถ้าแก่ ถ้าผู้บริหารชาติทำงานแบบเถ้าแก่ ไม่ทำงานแบบข้าราชการประจำ มีปัญหาปั้บลงไปแก้ได้ทันทีเลย เรียกคนโน้นปลัดกระทรวงคนนี้มาจัดการให้หมด นี่คือการทำงานแบบฉับไว ฉะนั้นแล้วเมืองไทยหรือสังคมทุกสังคมต้องการคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ สังคมมันถึงจะไปได้
นายสนธิ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ สตีฟ จ็อบส์ เหมือนกับพันธมิตรฯ คือ สร้างจิตวิญญาณให้เกิดขึ้น พันธมิตรฯสร้างความถูกต้อง สร้างศรัทธาที่จะยืนหยัดบนความถูกต้อง ถ้าพ้นจากช่วงของพันธมิตรฯไป ตนคิดว่าหากเราสร้างจิตวิญญาณให้มันฝังลึกลงไปในสังคมได้ จิตวิญญาณไม่หายไปไหน
มีคนบอกว่า เวลานี้สังเกตผลโพลคนนิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ 30% นายอภิสิทธิ์ 18% คนไม่เอาทั้ง 2 คนเลยเกือบ 50% แสดงว่าสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำมาตลอดนั้นมันใช้เวลา เหมือนกับสตีฟ จ็อบส์ ออกไปจากแอปเปิล 10 ปี พอกลับมา มาพิสูจน์ว่าสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ทำนั้นถูกต้อง ทำให้แอปเปิ้ล เจริญเติบโตได้ ฉันใด ฉันนั้น พันธมิตรฯพูดมาปากเปียกปากแฉะ ตอนพรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจก็มาหาเรื่อง มาใส่ร้าย แต่พอมาวันนี้แล้วคนก็เริ่มเห็นแล้วว่า สิ่งที่เราทำถูกต้องหมดทุกอย่าง น้ำท่วมยุคประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็แก้ไม่ได้ ยุคยิ่งลักษณ์ เพื่อไทยก็แก้ไม่ได้
จะเห็นว่าพันธมิตรฯ พูดถูก แต่ว่ามันต้องใช้เวลา เหมือนช่วงที่ สตีฟ จ็อบส์ เขาอยู่แอปเปิล แล้วทะเลาะกับ จอห์น สกัลลี่ (ผู้บริหารบริษัทขณะนั้น) แล้วยอดขายมันตก คนก็บอกว่ายอดขายมันตก เพราะสตีฟ จ็อบส์ แต่ตัวเขาก็บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องยอดขาย แต่เรากำลังขาดนวัตกรรม แล้วไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครมองเห็น ก็เหมือนพันธมิตรฯ ไม่มีใครมองเห็นพันธมิตรฯ คนที่เจ็บปวดมากๆ คือตน เพราะหลายเรื่องที่ทำมามันไม่มีใครเห็น ทำนายทายทักไว้ทุกเรื่องก็ไม่เคยผิด
วันนี้ตนมองข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายอภิสิทธิ์ ไปไกลแล้ว ตนมองว่าประเทศไทยล่มสลายแน่นอน ต่อให้ 100 อภิสิทธิ์ ก็แก้ไม่ได้ ให้ 100 ทักษิณ ก็แก้ไม่ได้
กติกาใหม่ของโลก ณ วันนี้ก็คือ ภัยพิบัติ การล่มสลายทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา สมัยก่อนมันทำนายได้ สมัยนี้ทำนายไม่ได้ คาดการณ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแล้ววิธีบริหารงาน วิธีเล่นการเมือง ระบบการเมือง วันนี้นักการเมืองสนใจแต่เรื่องอะไร ร่างโครงการแก้น้ำท่วม เพื่อหางบเข้ากระเป๋าตัวเอง คนที่พินาศ ฉิบหายไปก็คือประชาชนเหมือนเดิม
คำต่อคำ
จินดารัตน์ - สวัสดีคะคุณผู้ชมคะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคนเคาะข่าวค่ะ ในค่ำคืนวันนี้หลายคนสงสัยกันว่าทำไมจะต้องพูดถึงผู้ชายคนนี้ สตีฟ จ็อบส์ ซึ่งเป็นกรรมการ ซีอีโอ ของบริษัทแอปเปิล เขายิ่งใหญ่อย่างไร แน่นอนที่สุดมีคนเปรียบเทียบเขาว่า เขาเป็นเสมือนหนึ่งศาสดาคนหนึ่งในวงการสื่อ จริงหรือเปล่า เรื่องของเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ยี่ห้อแอปเปิลนั้นไม่มีใครไม่รู้จักบนโลกใบนี้ เมื่อเขาคนนี้จากไปหลายคนกำลังนึกเสียดายว่า โลกนั้นขาดอะไรไปบางอย่างขนาดนั้นเชียวหรือคะ
เรามาฟังกันดูว่ามีคนกล่าวกันอย่างนี้คะว่า มีแอปเปิลอยู่ 3 ลูก ที่เปลี่ยนโลกใบนี้ ลูกแลกคือ ลูกที่อดัมกับอีฟกินเข้าไป ลูกที่ 2 คือลูกที่หล่นใส่หัวของเซอร์ ไอแซกนิวตัน ทำให้เขาค้นพบเเรงโน้มถ่วงของโลก และลูกสุดท้ายลูกที่ 3 คือแอปเปิลของสตีฟ จ็อปส์ นั่นเอง วันนี้เราก็เลยจะมาคุยกันว่า เขาเป็นเหมือนศาสดาที่หลายคนเปรียบเทียบจริงหรือเปล่า เขามีแนวคิดอย่างไรในปาฐกถาที่เพิ่งจบไปเป็นเพียงตอนเดียวที่เป็นปาฐกถาที่ดีที่สุดของเขาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาไปพูดที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาที่นั่น คนก็เลยเข้าไปดูกันยกใหญ่เลย
แต่เมืองไทยนั้นต้องถามคุณผู้ชม ว่าคุณผู้ชมรู้จักแอปเปิ้ล ตั้งแต่เมื่อไหร่ สำหรับผู้ชายที่นั่งอยู่กับแอนในวันนี้ รู้จักแอปเปิ้ลมาตั้งแต่ วงการสื่อของเรา ยังไม่รู้จักแอปเปิ้ล และยังไม่มีสตางค์ซื้อด้วยซ้ำ เราจะคุยกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณ พชร สมุทวณิช หรือ พี่เพชร ค่ะ
หลายคนเขาสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นคุณสนธิ มาคุยในคืนนี้เรื่องของสติฟ จ๊อบ มิสเตอร์เอส พูดถึงมิสเตอร์เอส อีกคนนึง
สนธิ - ให้เพชร เขาตอบดีมั้ยครับว่าทำไมถึงต้องเป็นผม
พชร - จริงๆ ถ้าถามผม คนที่รู้จักและทำความเข้าใจกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าแอปเปิ้ลเนี้ย คนแรกๆ ของเมืองไทยเลย ก็คือคุณสนธิ และก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกัน ก่อนเข้ารายการมา ผมเพิ่งคุยกับคุณสนธิว่า คุณสนธิ เป็นคนที่เรียกได้ว่าบุกเบิกนำเครื่องแอปเปิ้ล หรือเครื่องแมคอินทอช มาใช้ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในยุคแรกๆ ในสมัยก่อนหน้าที่เรายังใช้พิมพ์ดีด แล้วส่งไปเรียงพิมพ์ ตอนนั้นผมไม่ทัน ซึ่งคุณสนธิปรับ เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำกันอยู่ในวงการ คือ นำระบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชมาใช้ ตอนนั้นผมเข้ามาทันยุคแรกๆ เครื่องรุ่นแรกๆ จนในปัจจุบัน
ก่อนเข้ารายการผมพูดกับคุณสนธิว่า คุณสนธิเป็นคนที่เข้าใจในเรื่องเครื่องแมคอินทอช แต่คุณสนธิไม่เคยใช้สักเครื่อง ไม่เชื่อลองถามดูได้ ผมบอกกับตัวเองว่า ผมเข้ามาในออฟฟิศผู้จัดการ ตั้งแต่ปี 35 ผมอยู่กับแมคอินทอชที่คุณสนธิซื้อมาให้พวกเราใช้อยู่ตลอดเวลา ผมเป็นพวกบ้าไล่ตามเทคโนโลยี คือผมอยากได้รุ่นใหม่ทุกรุ่น ไม่เชื่อถามคุณสนธิ แกอาจจะนินทาผมทีหลัง ผมขออนุมัติเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ผมเป็นคนไล่ตามเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีของแอปเปิลแมคอินทอช แต่คุณสนธิไม่เป็นคนไล่ตามเทคโนโลยี แต่เข้าใจมากกว่าคนอื่นที่ไล่ตามเทคโนโลยี คุณสนธิใช้เทคโนโลยีไปตอบโจทย์อะไรบางอย่าง แล้วสร้าง เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาโดยตัวแเองแอบนินทาว่า ใช้คอมพิวเตอร์ไม่คล่องนะครับ
จินดารัตน์- แต่ว่ารู้จักและเป็นคนแรกที่เริ่มเอามาใช้
พชร - เคยเห็นไหมครับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ไม่คล่องเลย แต่เข้าใจมันมากวก่าอะไรทั้งหมด
จินดารัตน์ - แล้วก็รู้ว่าเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้
พชร - ใช่ แกเป็นคนให้เครื่องมือทุกอย่างที่เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ แต่ไม่ได้ไล่ตามมัน แต่แกใช้มันเป็นเครื่องมือที่จะรับใช้นำไปสร้างสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในหลายเรื่อง อันนี้ผมอาจจะยาวไปสัดนิด ต้องให้คุณสนธิคุยถึงเรื่องนี้ดีกว่า แต่ต้องบอกว่า ทำไมวันนี้ถึงต้องเป็นสนธิ ลิ้มทองกุล หรือว่าที่คุยกันเล่นๆเรียกตัวเองว่า สตีฟ เจ๊ก
จินดารัตน์ - อเมริกันเขามีสตีฟ จ้อบส์ ไทยมีสตีฟ เจ๊ก
พชร - คนนี้แหละที่เป็นคนนำเครื่องคอมพิวเตอร์แอปเปิลของสตีฟ จ็อบส์ มารับใช้ให้กับวงการสื่อสารมวลชนคนแรกของเมืองไทย
จินดารัตน์ - คุณสนธิมองเห็นอะไร ทั้งที่พี่เพชรก็บอกว่า เป็นคนใช้คอมพิวเตอร์ไม่คล่อง เห็นอะไรในแมคอินทอชคะ
สนธิ- ผมเห็นความสามารถของแมคอินทอชตอนสามารถทำออนไลน์ได้ จริงๆแล้วสตีฟ จ็อบส์ แมคอินทอชเป็นคอมพิวเตอร์แรกๆเลยที่สามารถจะเชื่อมเครือข่ายภายในออฟฟิศกันได้ คนนี้เข้าไปเเอคเซสข้อมูลคนนั้นได้หมด ส่งต่อข้อมูลกันได้ เดี๋ยวให้เพชรเขาเล่าให้ฟังซิครับว่า แม้กระทั่งข้อมูลเก่าๆจนกระทั่งทุกวันนี้เพชรเขายังเปิดเครื่องมาเจอเลยสมัยนั้น
สมัยนั้นคอมพิเวอตร์จะสแตนอโลนตัวของมันเอง ตอนนั้นแมคอินทอชเป็นตัวแรกที่สามารถสร้างกราฟฟิกได้ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในประเทศไทยที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟฟิก ทำกราฟ ทำเป็นแท่ง ทำเป็นรูปเมฆ แล้วคนซึ่งทำได้ 2 คน ผมรับเด็กมาจากจุฬาฯ 2 คน จบจากคณะคุรุศิลป์ คนหนึ่งชื่อต้อย อีกคนชื่อตุ้ม ตุ้มนี่คือแม่ของไมล่า
จินดารัตน์- น้องไมล่า ที่ได้ไทยแลนด์ ก็อท ทาเลนท์
สนธิ- นั่นแหล่ะครับ ตุ้มครับ ผมลงทุนขนาดไหน ผมส่งต้อย และตุ้มไปเรียนเมืองนอก เรียนกราฟฟิก ไปเรียน Path institute of technology ที่นิวยอร์ก ไปเรียนเสียเงินเป็นล้าน ไปเรียนเพื่อที่จะกลับมาแล้วฝึกงานทำ
จินดารัตน์ - ซึ่งในตอนนั้น องค์กรเหล่านี้ใช้น้อยมากเลย
สนธิ - ไม่มีใครใช้เลย ผู้จัดการเป็นฉบับแรกที่ใช้ครับ
จินดารัตน์ - หมายถึงในวงการสื่อหรือคะ
สนธิ - ในวงการสื่อเราเป็นฉบับแรก แล้วก็มาถึงในวงการโทรทัศน์ เราก็เป็นเจ้าแรกที่ใช้ G 5
จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ ของแอปเปิล
สนธิ - ของแอปเปิล ในการตัดต่อ สมัยนั้นทีวีที่เราทำเมื่อ 8 ปีที่แล้ว วงการทีวีเมืองไทยยังใช้เครื่องตัดต่อแบบเดิม
เวลาจะตัดต่อทีจำได้มั้ย เขาก็จะเอาเทปเก่าๆ ใส่รถเข็น แล้วเขาก็เลือกเอามาใส่ ยัดเทปไปแล้วก็ตัดต่อจากตรงนั้น แต่ของเราไม่ เราอินสตอร์เข้าไป ดึงเข้าไปใส่แมค G5 แล้ว G5 ตัดต่อทุกอย่าง แล้วผมกล้าพูดได้ว่า คนในเอเอสทีวี เป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพที่สุดในการใชแมค โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว G5
ตัว G5 ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกร้องให้พนักงานทุกคนที่เข้ามาที่นี่ ต้องเรียนรู้การใช้ G5 แล้วพอใช้ไปใช้มาแล้ว วันนี้กลับไปสู่ระบบเดิมไม่ได้แล้ว และผมก็เชื่อว่า หลายๆ สถานีโทรทัศน์ ก็เริ่มใช้ G5 กันแล้ว
ก็เหมือนสมัยโน้น ย้อนกลับไปเกือบๆ 20 ปีที่เราเริ่มใช้แมค
จินดารัตน์ - คุณสนธิคะ เวลาเราลงทุนอะไรเนี้ย เมื่อแมคอินทอช เขาบอกว่าแพงมาก ใช่มั้ยคะพี่เพชร
พชร - แพงมากครับ
จินดารัตน์ - แล้วเอามาใช้กับสื่อกับเรา เราเป็นเจ้าแรกเนี้ย อะไรมันรองรับได้แค่ไหน หรือจะยอมลงทุนเสี่ยงมันคุ้มมั้ยกับที่ลงทุนไปคิดอะไรอยู่คะ
สนธิ - มันก็เหมือนเป็นความคิดของ สตีฟ จ็อบส์ เขามีความมเชื่อ และศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ เหมือนผมเหมือนกัน ผมมองว่า แมคอินทอช คือคำตอบของการทำให้หนังสือพิมพ์ดีขึ้น จะต้องลงทุนเท่าไหร่ผมก็ลงทุน
ก็แอนจำได้มั้ยครับ มาถึงทีวี G5 ซึ่ง G5 ตัวละเท่าไหร่ สองแสนกว่าบาท เรามีกี่ตัว เรามีประมาณ 40- 50 ตัว ไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องกล้าลงทุนในเรื่องนี้ เพราะว่าในที่สุดแล้วมันจะให้ผลประโยชน์
สตีฟ จ็อบส์ เขาเคยไปให้สัมภาษณ์ นิตยสารเพลย์บอยมาพักนึง เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เขาเริ่มทำแมคอินทอชใหม่ๆ เพลย์บอยเขาบอกว่าตัวเลข การรขายของเขาตก เขามีความกังวลมั้ย เขาพูดแบบนี้ เขาพูดว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องตัวเลขหรอก สำหรับผมแล้ว ตัวเลขมันไม่ได้มีความหมาย ผมสนใจว่าสิ่งที่ผมจะทำมันดีแค่ไหน และจะให้ประโยชน์กับคนใช้อย่างไร ผมต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ประโยชน์กับคนใช้ เมื่อดีที่สุดแล้วในตัวของมันเอง คุณภาพตัวของมันเอง จะทำให้คนหันเข้ามาใช้
ถ้าจะพูดว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นกบฏทางคอมพิวเตอร์ ความคิดของผมซึ่งไม่ได้เอามาจากสตีฟ จ็อบส์ แต่คิดเหมือนกัน ผมเป็นกบฏทางสื่อมวลชน กบฏเรื่องของเทคโนโลยีผมเอามาก่อน กบฏเรื่องความคิดว่า หนังสือพิมพ์ มาจนกระทั่งโทรทัศน์ เราต้องไม่เหมือนคนอื่น เพราะคนอื่นตามกระแส ของเราจะไปตามกระแสไม่ได้ ของเราต้องรายงานความจริง ต้องกล้าพูด เพราะฉะนั้นแล้วเราเป็นกบฏสื่อมวลชน ลักษณะกบฏแบบนี้ถึงอยู่ในตัวสตีฟ จ็อบส์ และสตีฟ เจ๊ก เรียกผมสตีฟ เจ๊ก
จะเห็นได้ชัด นี่คือจุดเริ่มต้นของมัน หลังจากนั้นผมเริ่มให้เพชรทำเรื่องเกี่ยวกับเว็บไซต์ออนไลน์
จินดารัตน์- ผลพลอยได้ คือคิดไปไกล
สนธิ- ผมคิดไปไกล
จินดารัตน์- ก่อนซื้อเครื่องนี้มา รู้เลยว่าจะทำอะไรให้เราได้บ้าง
สนธิ- จะทำอะไรได้ แล้วออนไลน์กำลังเริ่ม อินเทอร์เน็ตกำลังเริ่ม แล้วผมเห็นว่า มันจะต้องไปอย่างนี้แน่นอน สตีฟ จ็อบส์ พูดอย่างนี้ เวลาคุณเล่นฮ็อกกี้ ตีไปเรื่อยๆ อย่าไปมองว่าลูกอยู่ที่ไหน ให้มองว่า ลูกจะถูกตีไปตรงไหนแล้วคุณไปดักตรงนั้น อันนี้คือสตีฟ จ็อบส์ เพราะฉะนั้นการตายของเขาถึงยิ่งใหญ่ ประเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังว่าเขามีบุคลิกอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ผมเจอการตายของคนในโลกที่ยิ่งใหญ่ ผมคิดว่าความยิ่งใหญ่ของสตีฟ จ็อบส์ ที่คนพูดถึง ถ้าพรุ่งนี้โอบามาตาย ยังมีคนพูดถึงโอบามาน้อยกว่า ทวิตเตอร์ ไมเคิล แจ็กสัน ตาย ทวิตเตอร์ขึ้นมาประมาณ 500 ทวิตเตอร์ต่อ 1 วินาที สตีฟ จ็อบส์ 10,000 ทวิตเตอร์ต่อ 1 วินาที
จินดารัตน์- ถึงขั้นมีสาวกบางประเทศที่ต่อแถวเป็นรูปแอปเปิล ที่ญี่ปุ่น พี่เพชรถือเป็นสาวกของแอปเปิลด้วยไหม
พชร- ส่วนตัวทำงานมาตามเครื่องที่คุณสนธิให้ใช้ แล้วผมรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างกับเครื่องที่หน้าตาแปลกใหม่ ถามส่วนตัว เขาเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจกับใครหลายคน ผมเป็นหนึ่งในนั้น แล้วผมรู้สึกว่า เสียดายกับการตายของเขาเหมือนกัน
จินดารัตน์- คุณผู้ชมที่ดูรายการ มีหลายช่วงวัย บางท่านอาจจะไม่เคยรู้ว่า แล้วดีกว่าคอมพิวเตอร์ปกติอย่างไร วิเศษกว่าอย่างไร ทำไมคนถึงกลายเป็นสาวก คลั่งไคล้แอปเปิลถึงขนาดว่า ยอมทำอะไรเวลาที่เขาตายไปแบบนี้ มันดี วิเศษกว่าปกติอย่างไร
พชร - ส่วนตัวผมเองผมมองว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนกล้าจะพลิกสิ่งที่เป็นอะไรดั้งเดิมให้นำไปสู่สิ่งใหม่ การที่จะทำตรงนี้เป็นการกล้าตัดสินใจของคนๆ หนึ่ง ถ้าทำตามระบบเดินไปตามสเตปสังคม เป็นเรื่องที่ทำได้ ส่วนหนึ่งก็ทำอย่างนั้น อยู่มาวันหนึ่ง คนๆ หนึ่งที่คิดกบฏ หรือคิดอะไรแปลกใหม่ให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมา ผมนึกๆ ระหว่างเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า บังเอิญเจอเครื่องนี้ก่อนเขาเสียชีวิต 2 วัน แล้วมาเปิดค้นๆ ดู ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ระลึกว่า สมัยนั้นเป็นอะไรที่แปลกใหม่ คิดง่ายๆ สมัยนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันเป็นสีดำ สีขาว วันดีคืนดีเมื่อปี 1998 เครื่องคอมพิวเตอร์หน้าตาประหลาด รูปทรงแปลก โฆษณาอันแรก มาดูที่ก้นเครื่องคอมพิวเตอร์มันสวยกว่าด้านหน้าคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออื่นๆ สังเกตว่าสีสันสดใส ยุคนั้นไอบีเอ็มยิ่งใหญ่มาก จะเป็นสีดำ แต่เขากล้าใส่สีสันและดีไซน์ลงไป ผมมองว่า มันไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น
จินดารัตน์ - เหมือนที่เขาเคยพูดว่า เขามีความเชื่อว่า ความหยั่งรู้โดยสันชาติญาณก่อให้เกิดปัญญา เขาเลยเริ่มฝึกสมาธิ อันนี้เป็นแนวคิดในนิกายเซ็น
สนธิ- สตีฟ จ็อบส์ นับถือพุทธมหาญาณ สมัยเป็นเด็กหนุ่มเขาทำงานกับบริษัทออกแบบเกมส์คอมพิวเตอร์ ตอนหลังมาทำคอมพิวเตอร์เล็กๆ ชื่อ อาตาริ เขาเป็นคนซ่อมเกมส์ได้ เขาถูกส่งไปที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อไปซ่อมเกม ซึ่งอาตาริขายในสวิตเซอร์แลนด์ พอซ่อมเสร็จเขาเดินทาง ทิ้งบริษัท เดินทางเที่ยว เขาไปอินเดียไปเจอบาบา พวกบาบา เช่น ไสบาบา เขาเล่าให้ฟัง เขาไปเจอบาบาแล้วเขาหิวข้าว ไม่ได้กินข้าวดีมาเลย แล้วอาหารของบาบาเยอะ เขาเลยไปคารวะบาบา บาบาพาเดินขึ้นภูเขาหิมาลัย แล้วเอาหัวเขาจุ่มลงไปในบ่อ พอจุ่มเสร็จขึ้นมาบาบาก็หยิบมีดโกนมาโกนหัวเขาเลย สตีฟ จ็อบส์ ถูกโกนหัวเป็นฮินดู หลังจากนั้น สตีฟ จ็อบส์ จึงมีความรู้สึกผูกพันกับตะวันออก แล้วก็มีความรู้สึกศึกษาเข้าไปในธรรมะมากขึ้น คุณสังเกตคำพูดสุดท้ายที่สตีฟ จ็อบส์ เขาพูด จริงๆแล้วเขาใช้หลักธรรม ความหมายเขาบอกว่า เฮ้ย พวกคุณในที่สุดคนเราต้องตายกันหมด เมื่อตายลงไปแล้ว อะไรมันไม่มีความหมายแล้ว ถูกมั้ย คือพูดง่ายๆเขากำลังบอกทุกคนว่าให้เตรียมตัวตาย คนเราต้องเตรียมตัวตายทุกวัน เหมือนที่เขาบอกว่า เขาอยากจะมีชีวิตอยู่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขา แล้วเขาถามตัวเขาเองในหน้ากระจกว่า ถ้าวันนี้เป็นวัดสุดท้ายในชีวิตเขาแล้ว มีอะไรบ้างที่ยังคั่งค้างอยู่ยังไม่ได้ทำ ต้องทำให้หมด
วันนี้ผมจงใจแต่งตัวอย่างนี้ เพราะนี่คือชุดที่สตีฟ จ็อบส์ เขาแต่งตัว ใส่กางเกงยีนส์อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้วคือสตีฟ จ็อบส์ วันนี้ พูดถึงทรัพย์สินเขามีประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าหุ้นเขา
จินดารัตน์ - เขาบอกว่าเขาใช้เวลากี่ปีนะคะ 10 ปี จากบริษัทมี 2 คน
สนธิ- 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับเขามีเงินประมาณ 250,000 ล้านบาท สำหรับเขา แต่เขายังใส่เสื้อคอกลมแขนยาวแบบนี้ แล้วใส่กางเกงยีนส์ ใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วเขาไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว บ้านเขาก็ยังเป็นบ้านเดิมที่เขาสร้างมาอยู่กับภรรยาเขาลอเรน และลูกเขาอีก 2 -3 คน แล้วเขามีความสุขอยู่อย่าง เขาต้องการสร้าง ฉะนั้นสตีฟ จ็อบส์จุดแรกสุดคือความหมายของนัยของผู้ชายคนนี้คือเขาเป็นนักสร้าง นักคิดค้น จากการซึ่งเด็กๆสมัยที่เขาดร็อปลงมา เขาไปเรียนมหาวิยาลัยชื่อ รีช คอเลจ แล้วเรียนไม่จบ เพราะมันเเพงมาก เขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์เขาเลยดร็อปออกมา แต่ในขณะเดียวกันรีชคอลเลจมันมีชื่อ เรื่องอะไรรู้ไหม เรื่องการออกแบบตัวหนังสือ เขาก็เลยเข้าไปศึกษาการออกแบบตัวหนังสือของรีชคอลเลจ เขาศึกษาว่าช่องไฟมันต้องเท่าไหร่ ลักษณะตัวหนังสือเป็นอย่างไร
จินดารัตน์- ซึ่งตามปกติเรามอง มันจะเรียนไปทำอะไร ประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง
สนธิ - ในที่สุดแล้วเมื่อเขาทำแมคอินทอช เขาก็เอาแบบตัวหนังสือมาทำเป็นฟร้อนท์ทำให้สวย แล้วคนที่ขโมยไอเดียเขาไปคือใคร บิล เกตต์ ไมโครซอฟท์ เพราะฉะนั้นแล้ว สตีฟ จ็อบส์ เขาถึงบอกไง ชีวิตเหมือนจุดต่างๆ ในอดีตเมื่อคุณมองย้อนหลังไป คุณโยงจุดต่างๆแล้วคุณจะเข้าใจ แต่จุดต่างๆในอนาคตคุณโยงแล้วคุณไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือเปล่า แต่เขาบอกว่า เหมือนกับถ้าพูดภาษาธรรมก็คือว่า ธรรมะจะจัดสรรเอง ฉะนั้นสตีฟ จ็อบส์ ช่วงหลังเขาจะเป็นคนซึ่งค่อนข้างจะมีหลักธรรมค่อนข้างสูง ถึงแม้จะมีเงินมีทองมากแต่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาสามัญที่สุด เขามีความรู้สึกว่า คอมพิวเตอร์สมัยก่อนไอบีเอ็มเป็นเจ้าของ ไอบีเอ็มทำเมนเฟรมใหญ่ คอมพิวเตอร์ใหญ่ยักษ์มหึมา บริษัทยักษ์ต่างๆก็จะใช้คอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า เฮ้ย คอมพิวเตอร์ในอนาคต เขามีวิสัยทัศน์ว่าในที่สุดแล้วมันจะต้องมาเหมือนโทรทัศน์ในบ้านเรา คนจะต้องมีใช้ที่บ้าน เขาถึงต้องคอมพิวเตอร์แอปเปิล 1 แอปเปิล 2 พอทำปั้บคนติดเพราะเริ่มใช้ได้ เสร็จเรียบร้อยเลย เขาก็เลยขายดี ร่ำรวยขึ้นมา ไอบีเอ็ม เห็นว่าแอปเปิลตัวนี้มันคือคอมพิวเตอร์ที่คนใช้ที่บ้าน ไอบีเอ็มก็เลยมาเลียนแบบทำ เขาเรียกว่าพีซีเจอาร์ พีซีจูเนียร์
ไอบีเอ็มความที่เป็นบริษัทยักษ์มากก็จะมาบรีฟสตีฟ จ็อบส์ เขาก็ไม่แคร์ เขาเชื่อในสิ่งที่เขาทำ ทำศรัทธาในสิ่งที่เขาทำก็ทำให้ดีที่สุด แล้วเผอิญเขาไปพลาดตรงแอปเปิล 2 ความจริงเขาผลิตลีซ่ามา แอปเปิล 2 ขายไม่ค่อยดี ตอนนั้นเขาลำบากมาก แต่ว่าสตีฟ จ็อบส์ เขาพูดอย่างนี้ บอกว่าผมต้องสู้ เดี๋ยวจะโยงกลับมาหาพวกเราพันธมิตรฯ ปรัชญาคล้ายๆกัน เขาบอกว่าถ้าให้ไอบีเอ็มครองตลาด แล้วเขาหมด หลุดออกไปจากตลาด คอมพิวเตอร์จะไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ จะเดินไปตามครรลองของมันตามความเชยของไอบีเอ็ม เพราะคนที่ทำงานไอบีเอ็มสมัยก่อนมียูนิฟอร์มด้วยนะ เสื้อนอกต้องสีดำ เนกไทสีดำ เสื้อเชิ๊ตสีขาว ไอบีเอ็มกับปูนซีเมนต์ไทยคล้ายๆกัน อนุรักษ์นิยม แล้วปูนนี่ลอกแบบไอเดียมาเหมือนกัน ดูให้ดีๆปูนก็ไม่มีนวัตกรรมนะ ทุกอย่างที่ทำมาคือซื้อเทคโนโลยีเข้ามา เหมือนไอบีเอ็ม ไอบีเอ็มก็ต้องการเข้าตลาดคอมพิวเตอร์ ก็สร้างพีซีเจอาร์ แล้วกินตลาดเพิ่มตลาดตัวเอง จาก 3% เป็น 28% ของแอปเปิ้ลของ สตีฟ จ๊อบ จาก 25% ตกลงมาถึง 22% คนก็ตกใจว่า สตีฟ จ๊อบ จะสู้ไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นมามาวันนี้ ไอบีเอ็มขายพีซีทิ้งไปแล้ว ขายให้คนจีน บริษัท Lenovo แต่ว่าแอปเปิ้ล ก็ยังเจริญเติบโตต่อไป
จินดารัตน์- โตขึ้นทุกวัน
สนธิ - เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่สตีฟ จ๊อบ มีอยู่ 2 ตัวคือ Innovator คือ ผู้คิดค้น อันที่สองคือเขามีความศรัทธา เขามีความเชื่อ ในคำพูดที่เขาพูดไง คุณอย่าไปเชื่อ คุณอย่าไปใช้ชีวิตตามที่คนอื่นเขาบอก ถามตัวคุณเอง อะไรดีที่สุดสำหรับคุณ เดินไปหาความฝันของคุณ แสวงหามันไปเรื่อยๆ สักวันคุณจะต้องเจอในสิ่งที่คุณรัก เมื่อคุณเจอในสิ่งที่คุณรักแล้ว คุณก็จะอยู่กับมันตลอดไป
เหมือนกับตอนที่เขาเอา จอห์น สกัลลี่ เข้ามา จอห์น สกัลลี่ เป็นประธานบริษัท เป๊ปซี่ จอน์น สกัลลี่ จบ MBA คิดธุรกิจแบบ MBA พยายามจะเป็น Artist คือแอปเปิลเป็นบริษัท Artist เหมือนกับเครือผู้จัดการเนี้ย เป็นบริษัทนักเขียน นักคิด ที่มีอิสรา เพราะฉะนั้นแล้ว การปะทะ ทางความคิดระหว่าง สตีฟ จ๊อบ กับ จอห์น สกัลลี่ ก็มี
บังเอิญ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ ยอดขายแอปเปิ้ลตก เมื่อยอดขาดแอปเปิลตกแล้ว บอร์ดก็เลยเข้าข้าง จอห์น สกัลลี่ ก็เลยบีบให้ สตีฟ จ็อบส์ ลาออก เขาก็ลาออก แล้วเขาพูดว่า นี่คือจุดๆ นึงที่เชื่อมชีวิตเขา เดิมทีเขามองไม่เห็น ว่าจุดในอนาคตเมื่อเขาออกแล้วจะเป็นอย่างไร แต่พอเขาออกแล้ว ความกดดันที่มันอยู่ในบ่าเขาหายไปหมดเลย เบา บ่าเขาเบา เพราะไม่ต้องมีความอดทนอะไร แต่ว่าเนื่องจากว่า ความศรัทธา ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ผิด เขาก็เดินหน้าต่อไป แล้วสร้างบริษัทชื่อ เน็กซ์ ขึ้นมา และเน็กซ์ก็ไป สร้างบริษัทชื่อ พิกซาร์
พิกซาร์ ก็คือบริษัทซึ่งสร้าง การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์ แอนนิเมชั่น
จินดารัตน์- ที่เราคุ้นหูกันมากก็คือ ทรอย สตอรี่ ค่ะ
สนธิ - ทรอย สตอรี่ คือเรื่องแรก แล้วประสบความสำเร็จมาก แล้วตอนหลังสตีฟ จ๊อบก็ขาย พิกซาร์ ให้กับ วอลท์ ดิสนีย์ มูลค่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีนี้พอ จอห์น สกัลลี่ มาแล้ว จอห์น สกัลลี่ เนี้ย เอาอย่างนี้ดีกว่า เหมือนคนที่มาบริหารเครือ ASTVผู้จัดการ คิดแบบเอ็มบีเอ มีรูปบบเดียวกัน ถ้าอย่างนี้แล้วเราไม่ควรจะไปแตะต้องคนนั้น ไม่ควรแตะต้อง ปตท.เราควรจะรับเงินเขามา จุดยืนอุดมการณ์ปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง คิดแบบนี้ในที่สุดผู้จัดการอาจจะรวยนะ แต่ว่าจะไม่มีคนอ่าน ที่สำคัญศักดิ์ศรีจะไม่มี สูญเสียจุดยืน แต่วันนี้แอปเปิลถึงไม่รวยประสบความสำเร็จ แต่เเอปเปิลยังมีศักดิ์ของเขาอยู่ แต่แอปเปิลโชคดีตรงที่ว่า ตลาดอเมริกันเป็นตลาดที่ให้โอกาสคน ไม่เหมือนตลาดเมืองไทย ตลาดเมืองไทยจำกัดริดลอนโอกาสคน แอปเปิลไปได้ดี เมื่อไปได้ดีแล้ว สตีฟ จ็อบส์ก็ได้ทั้งเนิได้ทั้งกล่อง คือมีจุดยืนของตัวเองในขณะเดียวกันก็สามารถทำกำไรจุดนี้ได้ เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นได้ชัดว่า เนื่องจากตรงนี้เขาก็เลยไปทำเน็กซ์แล้ว จอห์น สกาลีย์ ถูกบีบออก บอร์ดเห็นว่าไปไม่รอดแล้วจำเป็นต้องเอาสตีฟ จ็อบส์เข้ามา เขาก็เลยเชิญสตีฟ จ็อบส์ มาโดยซื้อบริษัทเน็กซ์ สิ่งซึ่งสตีฟ จ็อบส์ออกไปทำข้างนอกอย่างในช่วงที่เขาไม่อยู่กับแอปเปิล เขาไปสร้างซอฟต์แวร์ของเนกซ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะพัฒนาสู่สินค้าในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นไอพอด ไอโฟน ไอแพด ฉะนั้นเมื่อสตีฟ จ็อบส์ กลับเข้ามา สิ่งที่เขาทำได้อันแรกสุดคือเขาเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ก่อน เขาเปลี่ยนเป็น ไอแม็ก ขายดิบขายดีที่สุดในอเมริกา
พชร - ตัวนี้รุ่นล่าสุด รุ่นแรกจะเป็นสีฟ้าอ่อน แล้วหลังจากนั้นมีสีแดง น้ำเงินเต็มเลย แต่นี่รุ่นหลังแล้วครับ
จินดารัตน์- ดูรูปทรงยังทันสมัยอยู่เลย
สนธิ - สตีฟ จ็อบส์ เขามีเคล็ดลับในการทำสินค้าเขา เขาให้สัมภาษณ์มาเยอะ เขาบอกอย่างนี้ เขาบอกว่าทำสินค้าที่ยากที่สุด ทำให่มันธรรมดาที่สุด ทำซิมเปิล ยากกว่าทำให้มันคอมเพล็ก ซิมเปิลเพื่อพวกเรา ใช้ง่าย ยูสเซอร์เฟรนด์ลีย์ เขาบอกว่าทำยากมาก
จินดารัตน์- อ๋อ มิน่าเขาบอกว่าสตีฟ จ็อบส์ เอาแนวคิดอย่างหนึ่งมาใช้ในบริษัทแอปเปิล เขาบอกว่าในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ครบถ้วนสมบูรณ์และง่ายต่อการใช้
สนธิ - นั่นคือข้อแรก ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีซึ่งถ้าไม่เอาคนอื่นมาก็ต้องสร้างเอง ฉะนั้นต้องสังเกตว่า ซอฟต์แวร์หลายๆตัวของแอปเปิลเป็นของตัวเองเลย ไม่ไปยุ่งกับใครจริงๆ แล้ว บิล เกตส์ ที่ว่าเก่ง ซอฟต์แวร์บิล เกตส์ ไมโครซอฟท์ ขโมยมาทั้งนั้น บิล เกตส์ ขโมยไอเดียคนอื่น สตีฟ จ็อบส์ สร้างของตัวเอง อันที่สองที่เขามี สตีฟ จ็อบส์ เป็นศิลปิน เขาศึกษาเรื่องการออกแบบตัวอักษร เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะเห็นดีไซน์ของแอปเปิลสวยมาก โดดขึ้นมาเลย โน้ตบุ๊คแอปเปิลทำไมขายดี แม้กระทั่งไอแพด สวย สีเงิน เพราะฉะนั้นแล้วทำให้สินค้าที่แอปเปิลออกแบบมีอยู่ 2 อย่าง ซิมเปิล ใช้ง่าย แล้ว 2 สวย ไอโฟนใช้ง่ายที่สุด ส่งเอสเอ็มเอส จะส่งหาใครก็ตาม จะมีปุ่มซ้ายมือว่า ภาพ กล้อง เคาะกล้องก็เข้าสู่อัลบั้ม
จินดารัตน์- คนติดใจมันใช้ง่าย
พชร - สินค้าอะไรที่มีองค์ประกอบสวย ใช้ง่าย มันจบ ใครๆ ก็อยากได้
จินดารัตน์- รู้สึกว่า วันนี้คนที่เป็นสาวกแอปเปิล คนที่ไม่ใช่มองว่า พวกสาวก คิดไปเองว่า อะไรออกมาต้องดีที่สุดของแอปเปิล
สนธิ - คนที่เป็นสาวกแอปเปิล เหมือนคนใช้รถยนต์ คุณรู้ข้อแตกต่างระหว่างคนใช้เบนซ์กับบีเอ็มไหม คนใช้บีเอ็มจะมีลักษณะเป็นปัจเจกชนมากกว่า
จินดารัตน์- มีความเป็นตัวของตัวเอง
สนธิ - เนื่องจากเมืองไทยอะไรๆ ก็เบนซ์ เพราะฉะนั้นแล้วบางคนไม่ชอบซื้อเบนซ์ เพราะอะไรๆ ก็เบนซ์ เกรดที่สู้เบนซ์ได้คือบีเอ็ม เขามีความรู้สึกว่า ถ้าเขาใช้บีเอ็มแล้วคุณภาพสู้เบนซ์ได้ แต่ขณะเดียวกันรู้สึกว่า ท่ามกลางเบนซ์จะมีบีเอ็มโผล่มาคันคนจะมองบีเอ็ม นั่นคือสาวกแอปเปิล
จินดารัตน์- เหมือนนาฬิกาโรเล็กซ์
สนธิ- สมัยหนึ่ง คุณถือพีซี คนจะถือเดลล์ โตชิบา ฟูจิสึ ไอบีเอ็ม จู่มาจากไหนไม่รู้ แอปเปิลพีซี คนถือแอปเปิลจะโดดเด่น เพราะ 1.แอปเปิลไม่ใช้ไมโครซอฟท์ ใช้โปรแกรมโอเอส เฉพาะที่ไม่ใช้ไมโครซอฟท์เลยทำให้คนที่ใช้แอปเปิลโดดเด่นกว่าทุกคน ต่างกว่าทุกๆ คน ตรงนี้ไม่เคยมีใครคิด แอปเปิลทุกอย่างเป็นเพราะพลายเตอร์ เขาคิดเอง เหมือนโซนี่คิดของตัวเอง ช่วงแรกๆ แอปเปิลมีปัญหา เพราะฐานแอปเปิลสร้างจากฐานตัวเอง คือทุกอย่างตัวเองทำหมด ฐานเล็ก ฐานขยายตอนที่มีไอพอด ไอโฟน พอขยายทั้งไอทูนส์สโตร์ แอปสโตร์ ทำให้ฐานสมบูรณ์แบบ เมื่อฐานใหญ่ขนาดนี้แอปเปิลทำอะไรไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนทำอะไรมันเล็กแต่เดียวนี้ทำอะไรใหญ่มากพอที่จะทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอันนี้ได้ทันที
วันนี้สิ่งหนึ่งถ้าเราสังเกตให้ดี วันที่สตีฟ จ็อบส์กลับมา แต่ตัวที่ทำให้แอปเปิลเป็นวันนี้ได้คือ ไอพอด
พชร - กับไอโฟน
สนธิ - ทำไมไอพอดถึงสำเร็จ ไอพอดทำไม่ยาก ของโซนี่มีวอล์คแมน มีเยอะมาก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งสตีฟไม่เหมือนโซนี่ แล้วไม่เหมือนพานาโซนิค ตรงที่ว่า เขาไม่มองว่า ลูกฮ็อกกี้อยู่ตรงไหน เขามองว่า ต่อจากนี้จะตีไปที่ไหน เขาไปดักล่วงหน้า ของมองว่า ในเมื่อไอพอดเกี่ยวกับเพลง คนมีปัญหาเวลาจะซื้อเพลงจะไปที่ร้านแล้วเลือกซีดี จ่ายเงิน ขณะเดียวกันเจ้าเพลงอยากขายตรงให้กับลูกค้า ลูกค้าอยากซื้อกับเจ้าเพลง อยากมีตลาด นี่คือไอทูนส์ เพราะฉะนั้นแล้วสตีฟคือคนกลาง ที่จับคนผลิตเพลงคนซื้อเพลงเข้ามาเจอที่ร้าน คือ ไอทูนส์สโตร์ โดยไปเจรจาให้สำนักเพลงยกเพลงมาแล้วขายผ่านเขา 99 เซนต์ต่อเพลง แล้วกินเปอร์เซ็นต์ตรงนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ 2547 7 ปีที่แล้วมาถึงวันนี้ ไอทูนส์ขายเพลงทั้งหมด 16,000 ล้านเพลง คิดเพลงละ 1 ดอลลาร์ ก็ 16,000 ล้านดอลลาร์ คูณด้วย 30 480,000 ล้านบาท เอา 7 หาร ปีนึงได้เท่าไหร่ แล้วเขาได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ แล้วคุณรู้ไหม แอปต่างๆ ที่คุณโหลด ในไอแพด ให้คุณทายตอนนี้คนโหลดไปเท่าไหร่แล้ว ร่วมหมื่นล้าน
จินดารัตน์- แอปราคาต่ำสุด 99 เซนต์
สนธิ - เขาได้เปอร์เซ็นต์ตรงนี้ เขาเป็นคนกลางจากฮาร์ดแวร์ของเขา เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นจากไอแพด ไอโฟน เพราะเขาทำไอพอดได้ สิ่งที่เขาคิดต่อ เพราะเขาคิดล่วงหน้า เขาบอกว่าทำไมต้องฟังเพลงอย่างเดียว โทรศัพท์ได้ด้วยซิ ก็คือที่มาของไอโฟน โทรศัพท์ได้ด้วย ฟังเพลงได้ด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนที่เขาทำไอโฟน โนเกียหัวเราะเยาะ อีริคสันหัวเราะเยาะ โมโตโรล่าหัวเราะเยาะ เพราะเขาทำไอโฟนเขาไม่ได้คิดแค่เพลงกับโทรศัพท์ เขาออกไอโฟนรุ่นแรกจอใหญ่ เพราะเขาต้องการให้เป็นสมาร์ทโฟน ทำได้ทุกอย่าง แต่โนเกียไม่คิด ขณะซึ่งแอปเปิลยอดขายเพิ่มขึ้น โนเกียประกาศลดคน โนเกียใกล้เจ๊งเพราะไม่มองแบบสตีฟ จ็อบส์ คือมองไปข้างหน้า อย่าแย่งชิงตลาดตรงนี้ มองว่านี่เกิดขึ้นแล้วต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนตอนที่เราทำเว็บผู้จัดการ
พชร - แมเนเจอร์ออนไลน์ ตอนแรก
สนธิ - เราทำมา 11 ปี
พชร - เมื่อ 10 ปีที่แล้วใครจะนึกว่า ตอนนั้นคุณสนธิอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่
สนธิ- ทุกวันนี้ก็แย่อยู่
พชร - ตอนนั้นเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี คุณสนธิขยายอาณาจักรเยอะแยะมาก ก่อนล้มละลาย ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีตลาดต่างประเทศ เพราะไปลงทุนต่างประเทศเยอะ ครั้งนั้นทำให้ผมกลับมาใกล้ชิดคุณสนธิในฐานะเจ้านายลูกน้องมากที่สุด คุณสนธิจากที่ออกไปข้างนอกกลับมาสู่ที่ตั้งเดิม คือกลับมาสู่แวดวงหนังสือพิมพ์ ช่วงนั้นยุคก่อนปี 2000 ช่วงนั้นการเกิดของอินเทอร์เน็ตมาพอดี อยู่มาวันหนึ่งคุณสนธิมีไอเดียขึ้นมาว่า สื่อต้องเปลี่ยนแปลง เหมือนเมื่อกี้ที่พูดถึงว่า ตลาดไอบีเอ็ม ตอนนี้เล่นตามเกมส์ ถ้าเป็นปกติต้องคิดว่า หนังสือพิมพ์กระดาษจะพัฒนาอย่างไร จะหาโฆษณาอย่างไร แต่คุณสนธิมองไปล่วงหน้า ถ้าพูดถึงตอนนี้ก็คือมองล่วงหน้า 10 ปี เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นไม่เคยมีใครเห็นจริงๆ ถ้าพูดถึงเมื่อ 2 วันที่แล้ว ผมหยิบเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าเปิดดูเอกสาร ผมเจอเอกสารเก่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเห็นที่คุณสนธิสั่งงานแล้วผมทำรายงานโต้ตอบกลับไป การสั่งงานคุณสนธิตอนนั้น ถ้าเอามาอ่านวันนี้จะต้องตื่นเต้น เพราะว่าคุณสนธิสั่งให้ทำสิ่ง ซึ่งตอนนั้นมันแทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ 1.ปรับโครงสร้างใหม่ของกองบรรณาธิการผู้จัดการทั้งหมดให้มองไปอีกรูปแบบหนึ่งว่า ในอนาคตคนในสังคมจะอ่านหนังสือพิมพ์กระดาษต่อไปหรือเปล่า หรือจะมีนวัตกรรมอะไรใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย แล้วเราจะมองไปจุดที่ว่า ลูกฮ็อกกี้จะไปตรงไหน คือคุณสนธิให้คิดว่าควรจะมีเว็บไซต์ที่ให้คนอ่านข่าวได้ ตอนนั้นคุณสนธิก่อตั้ง วางระบบ มีนักข่าวออนไลน์ แล้วคุณสนธิสอนเองทุกเช้า ตอนนั้นนักข่าวออนไลน์คืออะไรไม่มีใครรู้จัก แล้วคุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการเว็บ เป็นหนึ่งในรุ่นแรกๆ ยังมาเล่าให้ผมฟังเลยว่า สมัยที่ไปทำข่าวไม่มีคนเชื่อ คุณมาจากไหน ผู้จัดการออนไลน์ครับ คุณเป็นนักข่าวผีหรือเปล่า บางทีปฏิเสธการให้สัมภาษณ์
จินดารัตน์- มันคืออะไรไม่รู้จัก
พชร - เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะว่าไม่มีนักข่าวออนไลน์ในประเทศไทย
จินดารัตน์- ในแวดวงสื่อไม่มี
พชร - คุณสนธิตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มแรก หลังจากนั้นคุณสนธิให้ปรับระบบกองบรรณาธิการทั้งหมด ด้วยปกติลักษณะการทำข่าว เราจะทำข่าวเช้า ส่งข่าวจากที่ต่างๆ มีคนที่โต๊ะส่วนกลางตอนเย็นรวบรวมข่าว สรุปส่งให้ฝ่ายจัดหน้า ส่งโรงพิมพ์ ตอนนั้นคุณสนธิบอกว่า เราจะทำข่าวแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกวินาที ตอนนั้นทุกคนทำหนังสือพิมพ์รายวัน คือวันนึงเราบอกเขาที ถึงจะมีกรอบบ่ายมันไม่ใช่ของจริง คุณสนธิบอกว่า ขณะที่โลกเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวรวดเร็ว เป็นวินาทีอยู่อย่างนี้ มันจะมีสื่อที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกได้มั้ย คำตอบในที่สุดก็มาถึง เว็บผู้จัดการนี่แหละ ซึ่งเดี๋ยวคุณสนธิคงอธิบายต่อ ว่าทำไม คิดอย่างไร แต่ว่าตอนนั้นคุณสนธิเนี้ย ไม่อยากจะบอกว่า ก่อนหน้านั้นเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่คุณสนธิ เอาคอมพิวเตอร์แมคอินทอช เข้ามาใหม่ๆ สิ่งที่คุณสนธิอยากมากที่สุด ไม่ใช่ 10 ปีที่แล้ว ตอนผู้จัดการออนไลน์นะ เมื่อ 20 ปีก่อน
คือสิ่งนึง ที่เรียกว่ากะะทะข่าว กระทะข่าวคืออะไร คือสิ่งที่รวมศูนย์ของข้อมูลข่าวทั้งหมด เอามาไว้ในที่เดียว เสร็จแล้วให้เป็นถังๆ ใส่ เป็นการจัดระเบียบที่ดี แล้วให้ทุกคนกลับไปใช้ใหม่ได้ แล้วทั้งหมดมันเป็น network จุดต่อกันเป็นวง แล้วใช้งาน มันเป็นจุดที่ขับเคลื่อน สื่อมวลชนให้เดินไปในจุดไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนหน้านั้นเป็นเหตุผลที่เมื่อกี๊ ย้อนกลับมา ทำไมเราถึงเอาระบบเครื่องแมคอินทอชมาใช้ เพราะมันสามารเชื่อมต่อกันได้ทุกเครื่องในออฟฟิศ
จินดารัตน์ - วันนั้นที่เกิดความคิดเรื่องเว็บเมเนเจอร์ ถามจริงๆ ในฐานะที่เป็นลูกน้อง พี่เพชร ค้านอยู่ในใจมั้ย
พชร - ผมไม่เชื่อ คือเรื่องของเรื่อง ก่อนนั้นผมเป็นคนไล่ตามเทคโนโลยีมาก แล้วพอผมมาอยู่ผู้จัดการ ผมเติบโตมากับเครื่อง แมคอินทอช ครั้งนั้นผมกลับมาจากต่างประเทศ ไปเรียนเมืองนอกปี 1998 ตอนนั้น สตีฟ จ๊อบ ก็คิด iMac ขึ้นมาพอดี ผมก็ใช้ iMac ตั้งแต่ตัวแรกเลย แล้วผมก็มาทำผู้จัดการ ที่นี่ก็ซื้อ iMac ใช้ แล้วผมตอนนั้นได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องข้อมูล เพราะฉะนั้นก็ไปเรียนรู้เรื่องกระทะข่าวนี่แหละ ผมก็ใช้มันทุกรุ่น แล้วผมก็ไล่ตามอยู่เรื่อยเลย จนผมถึงบอกว่า จริงๆ ผมไล่ตามมัน แต่ผมไม่รู้อะไรเลย
อยู่มาวันนึง ผมไปบอกคุณสนธิว่า ผมว่า ผมอยากทำเว็บขึ้นมาตัวนึง ที่เรียกว่า ตอนนั้นใครๆ ก็บ้า web vortor คุณแอนคงรู้จัก แล้ว วันที่ผมคุยกับคุณสนธิ บอกตามตรงว่าผมเห็นสีหน้าคุณสนธิ แล้วหล่ะ ว่าไม่เห็นด้วยกับผม แต่คุณสนธิมีนิสัยอย่างหนึ่งคือ ไม่ชอบดับฝันลูกน้อง คุณสนธิ ชอบให้คนของตัวเองมีจินตนาการ ไม่เป็นเผด็จการ อยากทำอะไรก็ทำ เปิดโอกาส แม้บางครั้งในอดีตที่ผ่านมา คุณสนธิ จะเปิดโอกาสให้ลูกน้องทำชิบหายเป็น...ทำเสียหายเป็น (หัวเราะ) ผมสามารถชี้เป็นคนเลยนะ คนนั้น 400 คนนั้น 300 ล้านนะ
คือผมบอกคุณสนธิ ตอนนั้นคุณสนธิ บาดเจ็บ และกำลังจะล้มละลายในช่วงนั้น ในช่วงที่ทำเว็บผู้จัดการใหม่ๆ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีตังค์เลย ผมก็เลยกลั้นใจบอกว่าผมอยากทำเว็บ คุณสนธิบอกว่า แป้บนึง แต่พอผ่านไปช่วงหนึ่งเหมือนคุณสนธิให้ผมไปเผชิญอะไรนิดหนึ่งลองเล่นกับจินตนาการของตัวเอง คุณสนธิก็เรียกผมไปวันหนึ่ง บอกผม 2 เรื่องที่ผมจำได้ เรื่องแรกบอกว่า เพชรจะทำไปทำไมเว็บ เว็บอันนั้นชื่อไทยเดย์ดอทคอม คุณสนธิเป็นคนให้ชื่อมา ซึ่งไม่ต้องแปลกใจว่าบริษัทที่ทำอยู่ตอนนี้ชื่อไทยเดย์ด็อทคอมมันมาจากไหน
ตอนนั้นเราล้มละลายแล้วตั้งบริษัทเล็กๆขึ้นมาชื่อไทยเดย์ด็อทคอม คุณสนธิเรียกผมไปดับฝัน แล้วก็จุดไฟกองใหม่ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน บอกว่า เพชรจะทำไปทำไมเว็บอีกหน่อยก็ตายแล้ว พูดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้เว็บก็ตายจริงๆ คุณสนธิพูดกับผมว่าเราทำอะไรอยู่ เราเป็นสื่อ สื่อที่สำคัญที่สุดคือคอนเทนท์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระเจ้า ฉะนั้นเชื่ออา เราจะมุ่งไปทางนี้ ในขณะเดียวกันคุณสนธิได้โยน manager.co.th มา ซึ่งตอนนั้น ทุกสื่อมีเว็บของตัวเองหมดแล้ว แต่อยู่ในฝ่ายไอที คือฝ่ายศิปล์จัดหน้าอย่างไรใช้ไฟล์เดียวกันกับฝ่ายไอที ซึ่งคอมสักแต่ว่าขึ้น ยอดแต่ละคนเป็นหลักร้อยหลักสิบ ผู้จัดการหลักสิบ ซึ่งตอนนั้นเช็ก คุณสนธิก็โยนมา เป็นจุดสิ้นสุดของ www ไทยเดย์ด็อทคอม วันนั้น ก็เกิด manager.co.th ในขณะเดียวกันคุณสนธิก็ได้ตั้งกลุ่มนักข่าวออนไลน์ขึ้นมา พร้อมกับจัดสั่งออฟฟิศใหม่ทั้งหมด แล้วในขณะนั้นเทคโนโลยีที่จะทำกะทะข่าวได้แล้ว ฉะนั้นเป็นการเข้ามา
ถ้าคุณจำได้คุณสนธิคุยกับคุณคืนวันพุธ คุณปัญจภัทร อังคสุวรรณ ถูกคุณสนธิดึงมา ตอนนั้นผมจะบอกให้คุณดีนทำงานอยู่ที่ไหน บริษัทที่ใหญ่มากเลยตอนนั้น ชินนี่ดอทคอม แล้วคุณสนธิเป็นบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ผมยังจำได้เลย ดีนเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทผม มาคุยกับเจ้านายพี่ วันหนึ่งดีนเข้ามาคุยกับคุณสนธิผมว่าสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นดีนอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้วนะ ปกติก่อนหน้านั้นคุณปัญจภัทร อังคสุวรรณ เป็นคนที่ย้ายงานบ่อยมาก แล้วไม่เคยอยู่ไหนนานเลย แต่ตอนนี้คุณดีนอยู่ที่นี่ ผมไม่รู้ว่าในวันนั้นในห้องคุณสนธิไปทำอะไรคุณปัญจภัทรหรือเปล่า
สนธิ- ผมว่าเป็นเรื่องความจริงใจเหมือนสตีฟ จ็อบส์ อีกข้อหนึ่งที่เขามี เขามีความคิดสร้างสรรค์เป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ความเป็นเถ้าแก่ของเขา สตีฟ จ็อบส์ ก็มีความจริงใจ เขาจริงใจกับงานที่เขาทำ เขาจริงใจกับคนของเขา ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ลูกน้องเอาใจยาก แต่สตีฟ จ็อบส์ จริงใจมาก คนที่ทำงานกับสตีฟ จ็อบส์ จะบ่นมาก คืออารมณ์จะแปรปรวน วันนี้ด่าพรุ่งนี้ชม แต่ในที่สุดลูกน้องรู้ว่า สตีฟ จ็อบส์ จริงใจกับที่ลูกน้องทำ ลูกน้องถึงทนอยู่ เขาบอกว่า ตอนที่สตีฟ จ็อบส์ สั่งลูกน้องไปออกแบบเรื่องอะไร พอส่งมาแกโยนลงตระกร้าบอกไปทำมาใหม่ จนกระทั่งลูกน้องเซ็งจะลาออก
พชร - นั่นทำร้ายจิตใจมาก
สนธิ - การที่โยนลงตระกร้าแล้วให้ทำใหม่ เป็นการแสดงความจริงใจ ผมอยากให้งานชิ้นนี้ออกมาให้ดีที่สุด ในที่สุดพอทำเสร็จเรียบร้อย ทุกคนมีความสุขมาก มองย้อนหลังถึงจะเห็นว่าสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ แท้จริงคือความจริงใจ ความจริงใจที่มีต่อการทำงานของลูกน้อง เพื่อหวังให้งานออกมาดีที่สุด นั่นคือความจริงใจที่มีต่อลูกน้อง
สตีฟ จ็อบส์ เหมือนผมในบางจุด สตีฟ จ็อบส์ ถ้าเขาไม่ได้ออกจากแอปเปิล แล้วกลับไปสร้างเน็กซ์ เขาไม่มีเบสท์ของเน็กซ์ ที่จะมาทำให้เกิดไอพอด และไอโฟน ในขณะเดียวกัน ถ้าธุรกิจในปี 2540 ไปได้ดี เศรษฐกิจไทยไม่ล่ม ผมก็คงจะไปโลดแล่นอยู่ในวงการต่างประเทศ ผมทำหนังสืออยู่เมืองนอกหลายเล่ม ผมคงไม่มีโอกาสกลับมาที่เมืองไทย แล้วมาสร้างเว็บผู้จัดการออนไลน์ แล้วคงไม่มี ASTV วันนี้
พชร - ธรรมะจัดสรร
สนธิ - ผมคงมีหนังสือ ตอนนั้นผมทำหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกภูมิภาค ผมมีสำนักพิมพ์ที่ฮ่องกง ที่แอลเอ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้ายังร่ำรวยเหมือนเดิม ป่านนี้ผมคงเป็นเจ้าของสื่อหลายเล่มที่เป็นสื่อภาษาอังกฤษ ไปเจริญเติบโตในอเมริกา
พชร - กำลังจะยิงดาวเทียมที่ลาว
สนธิ - ถ้าไม่ล้มละลายซะก่อน ถ้าเศรษฐกิจไม่ล้ม ผมจะมีช่องดาวเทียมเต็มไปหมด แล้วคงไม่มี ASTV คงไม่มีสื่อที่ลุกขึ้นมาสู้ระบอบทักษิณ
จินดารัตน์- สตีฟ จ็อบส์ เขาออกไปคิดจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นดีไหม สุดท้ายได้คำตอบสำหรับตัวเองว่า รักที่จะทำงานแบบนี้ถึงเกิดเน็กซ์ กับพิกซ่าขึ้นมา เหมือนที่คุณสนธิทำ ASTV ไม่ยอมแพ้ วันนี้ยังเชื่อมั่น
สนธิ - ไม่ยอมแพ้ เพราะผมเหมือนสตีฟ จ็อบส์ คือผมมีความศรัทธาในสิ่งที่ผมทำ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้อง ผมเชื่อว่าสังคมไทยจะต้องมีความจริงปรากฏ
เมื่อวันนี้พูดถึงสตีฟ จ็อบส์ ผมคิดว่าทุกสังคมในโลกต้องมีคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ ต้องมีคนที่เป็นกบฏต่อระบบ ไม่ยอม มีโฆษณาชิ้นหนึ่งที่สตีฟ จ็อบส์ ออกแบบ ตอนที่เขาทำแมคอินทอชใหม่ๆ ตอนนั้นไอบีเอ็มครองตลาด เป็นโฆษณาที่เป็นโรงภาพยนตร์ มีคนนั่งดูภาพยนตร์เป็นหุ่น แล้วภาพยนตร์ฉายหน้าคนซึ่งเป็นคนแก่กำลังพูดถึงเรื่องกฎกติกา ระเบียบ ทุกคนนั่งเหมือนหุ่น หน้าประตูมียามเฝ้า จู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งชุดกีฬา ใส่กางเกงขาสั้น ผลักยามออกวิ่งมาถือค้อนเป็นนักข้างค้อนโอลิมปิก หมุนตัวเองแล้วข้างค้อนไปที่จอ จอแตก คือเขาต้องการทำลายเมนเฟรมของไอบีเอ็ม ทำลายความคิดไอบีเอ็ม ไอบีเอ็มคิดอยู่อย่างเดียว ต้องการเป็นเจ้าตลาด ต้องการครองตลาด เขามีความรู้สึกว่าให้ไอบีเอ็มครองตลาดไม่ได้ เพราะถ้าครองตลาดแล้วทุกคนจะเป็นหุ่น
เหมือนสื่อมวลชนเมืองไทย ถ้าให้สื่อมวลชนเมืองไทยอยู่อย่างนี้โดยไม่มี ASTV ไม่มีผู้จัดการ ASTV ประเทศไทยจะกลายเป็นหุ่น คนไทยจะกลายเป็นหุ่น ที่เสพข่าวสารจากช่อง 3, 5, 7, 9, 11 Thai PBS จะไม่มี ASTV คนไทยจะได้ข่าวด้านเดียว ถ้าไม่มีเว็บไซต์ผู้จัดการ จะเป็นเว็บไซต์อันอื่น ซึ่งล้อเลียนแบบของหุ่น
พชร - ไม่พัฒนา
สนธิ - ไม่พัฒนาไปที่ไหนแม้แต่นิดเดียว คิดต่างไม่เป็น เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งสตีฟ จ็อบส์ มีคือความจริงใจ สตีฟ จ็อบส์ เป็นนักสร้างนวัตกรรม ความเป็นเถ้าแก่ ทุกอย่างรวบรวมคนมานั่งทำ พัฒนาต่อไป ไม่ดีทำจนดี มีความเชื่อมั่นว่าต้องทำให้ดี เพราะมีความเชื่อว่าถ้าดีแล้ว สินค้าตัวนี้จะประกาศศักดิ์ศรีเอง มีความศรัทธา เชื่อมั่น เหมือนพวกเราศรัทธา เชื่อมั่นสิ่งที่เราทำถูกต้อง เราศรัทธาว่า ต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อชาติ ลุกขึ้นสู้เพื่อศาสนา ลุกขึ้นสู้เพื่อพระมหากษัตริย์ เราศรัทธาตรงนี้เราถึงไม่ท้อถอย ถึงแม้เราจะถูกตีกินจากพรรคประชาธิปัตย์ไปบ้าง เราเฉยๆ เรายังศรัทธา เพียงแต่เราเปลี่ยนจุดยืนว่า ไม่ให้พวกคุณมาตีกินอีกต่อไป พูดง่ายๆ คุณจะหลอกใช้เราเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วความศรัทธาเราไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ยุทธวิธีเราเปลี่ยนแปลง
ในที่สุดสตีป จ็อบส์ กลายเป็นสัญลักษณ์ ผมไม่อยากเรียกว่า คนรุ่นใหม่ สัญลักษณ์ของคนที่ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ASTV เป็นสื่อมวลชนที่ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ASTV มองเห็นจุดอ่อน ASTV กล้าที่จะพูด ASTV มองว่า ปตท.ทำไม่ถูกต้อง ออกหุ้นไม่ถูกต้อง ASTV สู้ ASTV มองเรื่องนี้ว่า เขาพระวิหารจะต้องสูญเสียดินแดนให้เขมร เราออกไปสู้ เราสู้ทุกเรื่อง ขณะสื่อมวลชนอื่นรอรับเงิน รับเงินอย่างเดียว
พชร - คำนึงถึงโฆษณา
สนธิ - คำนึงถึงใครมีอำนาจทางการเมืองก็เขียนเชียร์ แทบทุกฉบับเป็นเช่นนี้ กลายเป็น ถ้าไม่ใช่สื่อมวลชนเชียร์เพื่อไทย จะมีสื่อมวลชนเชียร์ประชาธิปัตย์ แต่ของเราไม่เชียร์ทั้งคู่เพราะเราเอาความจริงเป็นตัวตั้ง
จินดารัตน์- สิ่งที่เกิดคำถามตามมาว่า เมื่อไม่มี สตีฟ จ็อบส์ แล้วแอปเปิลอยู่อย่างไร แอปเปิลจะเล็กลงทุกวันหรือเปล่า หรือจะยังคงเป็นแอปเปิลที่เติบโตขึ้น เพราะสตีป จ็อบส์ วางรากฐานอะไรบางอย่างให้กับคนของเขา ให้กับคนทั่วโลก พักกันก่อน ช่วงหน้ากลับมาฟังคำตอบ
จินดารัตน์- กลับมาช่วงสุดท้ายของรายการคนเคาะข่าวคะ เรากำลังพูดถึง สตีฟ จ็อบส์ บุรุษที่คนทั่วโลกวันนี้ไว้อาลัยให้กับเขา เขาได้ทิ้งอะไรให้กับคนทั้งโลกเอาไว้มากมายเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนกำลังคิดว่า เมื่อเขาตายจากไปแล้ว อะไรดีๆ ในแอปเปิล มันจะมีออกมาให้เราได้ชื่นชมอีกมั้ย หรือแอปเปิลก็จะสูญสลายไปในที่สุดเมื่อไม่มีผู้ชายชื่อนี้ ที่คนเขาติดใจกันมากที่สุด เขาบอกว่า แนวความคิด การู้จักกบฎ อย่างที่คุณสนธิบอก อันนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เขาทิ้งไว้ให้กับชาวโลกจริงหรือเปล่าคะ
สนธิ - ผมว่า สตีฟ จ็อบส์ สิ่งที่เขาทำให้กับวงการนี้คือ เหมือนเขาสร้างบ้าน เขาเป็นคนลงรากฐานไว้หมด แล้วเขาก็ขึ้นชั้น 2 ไอโฟน 4 ตีสัก ขึ้น 4 ชั้นแล้ว เขาเกิดตายไป ถามว่า คนที่อยู่ในแอปเปิ้ล มีปัญญาที่จะ มองไกลเกินไปว่า ไอ้ตึกนี้มันจะต้องขึ้นถึง 120 ชั้นหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไป แต่ถ้าจะใช้คำพูดของสตีฟ จ๊อบ ก็คือว่า อันนี้เป็นจุดข้างหน้าที่เราต้องจุด แล้วก็ลองลากดู แล้วเราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวมัน ผมเชื่อมั่นว่าวันนี้คนกล้าพอที่จะทำอย่างนั้น
อันที่สองที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือว่า มันจะขึ้นกี่ชั้นก็ตาม ปรากฏว่าในแต่ละชั้นมันมีคนมาใช้เต็มไปหมดเลย แล้วมันก็ทำให้แต่ละชั้นมันมีความสวยสด งดงาม แล้วสมมุติมีคนใช้ชั้น 3 แล้ว ขยายชั้น 3 ออกเป็น 2 ข้าง อย่างเช่นเฟสบุ๊ค เฟสบุ๊คเนี้ย ถ้าไม่มีไอโฟน สมาร์ทโฟน ของสตีฟ จ็อบส์ หรือไอแพด เฟซบุ๊กไม่โตขนาดนี้หรอก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ยังพูดเลยเขาบอกว่า สตีฟ จ็อบส์ เป็น mental ของเขา เป็นครูของเขา แล้วก็เป็นเพื่อนด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเฟสบุ๊คเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าสตีฟ จ็อบส์ เพราะฉะนั้นจะมีคนมาต่อยอดสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ ได้สร้าง สิ่งที่เขาสร้างเป็นชั้นๆ ยังไม่สำคัญเท่าเขาสร้างฐานเอาไว้แล้ว แล้วฐานนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่เขาสร้างบนฐาานของเขาคือแอปเปิล แต่ถ้าแอปเปิลไม่สามารถสร้างยอดสูงๆ ต่อไปได้ มันก็ยังมีฐานส่วนอื่นที่ยังแข็งแรงอยู่ ที่คนอื่นมาสร้างตึกขึ้นไปได้ สตีฟ จ็อบส์ คือผู้ริเริ่ม ผู้บุกเบิก และผู้เตรียมการทุกอย่าง เพื่อให้คนอื่นเข้ามาต่อยอดได้ทันที
จินดารัตน์- เขาเรียกว่ ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือน ศาสดาแห่งวงการนี้ พูดเกินจริงไปมั้ยคะ
สนธิ - ไม่น่าจะผิดนะ เพราะผมมองอย่างประเภทสุดโต่งหน่อยนะ ผมมองว่า เขาคือพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง แต่ไม่ใช่เซนต์ของพระพุทธเจ้านะ อย่าไปเข้าใจผิดนะ เดี๋ยวคนก็จะมาด่าผม โอ๊ย คุณไปเทียบสตีฟ จ็อบส์ เป็นพระพุทธเจ้าได้ไง ไม่ใช่ ผมถือว่าสตีฟ จ็อบส์ ตายไป เหมือนพระพุทธเจ้าถ้าบอกว่า ถ้าท่าเห็นธรรม ท่านเห็นเรา
พระพุทธเจ้าตายไปแล้ว แต่ธรรมะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ สตีฟ จ็อบส์ ตายไปแล้ว แต่เมื่อใด แอนไปสนามบิน หรือถือไอโฟน ถือไอแพด หรือถือเอชทีซี หรือว่าถือ ซัมซุง กาแลคซี่ ก็ต้องรู้ว่านี่แหละ สตีฟ จ๊อบ เกิดจากแรงของสตีฟ จ็อบส์ เพราะว่าสตีฟ จ็อบส์ สร้างของพวกนี้มา คนอื่นถึงเอาไปเลียนแบบหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ซัมซุงแทบเล็ต แทบเล็ตทุกยี่ห้อ มันเกิดจาก สตีฟ จ็อบส์ สมาร์ทโฟนทุกอันมันก็เกิดจากสตีฟ จ็อบส์ ฉะนั้นแล้วเมื่อคุณเห็นอะไรดังปั้บจะเป็นยี่ห้อใดก็ตาม สิ่งแรกที่คุณคิดเป็นคุณต้องบอกว่านี่แหล่ะสตีฟ จ็อบส์ ก็มีคนเขาพูดเหมือนกัน สตีฟ จ็อบส์ เขาไมได้ตายหรอกเขากลับบ้านเขา กลับดวงดาว หมดภารกิจแล้ว เขาเป็นมนุษย์ต่างดาว
พชร - มันยิ่งใหญ่จนคนไม่คิดว่ามันเป็นประดิษฐกรรมของมนุษย์
จินดารัตน์- เขาบอกว่ามนุษย์ในหลายทศวรรษที่ผ่านมามันจะมีคนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ไม่กี่คน
สนธิ - แต่จริงๆที่เราดูนะ บทบาทของสตีฟ จ็อบส์ จริงๆแล้วถ้าผู้บริหารทุกประเทศเลียนแบบสตีฟ จ็อบส์ ชาติบ้านเมืองจะไม่ล่มจม ล่มสลาย สตีฟ จ็อบส์ ข้อแรกเขาเป็นนักคิดค้นนวตกรรม แสดงว่า อะไรก็ตามที่เป็นรูปแบบเก่าๆแล้วมันไม่ดีพอ เขาไม่ยอมรับ ก็ต้องทำให้ดีกว่า คิดเพื่อให้ดีกว่าฉะนั้นผู้นำประเทศ เอายุคในประเทศไทยแล้วกัน ถ้ามองประเทศไทยตรงไหนไม่ดีเขาต้องเปลี่ยนแล้ว ระบบภาษีไม่ยุติธรรมเขาต้องหาทางเปลี่ยน ระบบธนาคารถ้าไม่ยุติธรรมกับคนชนชั้นกลาง ส่วนต่างของดอกเบี้ย เงินฝากกับเงินกู้ต่างกันตั้ง 7 % มากเกินไป เขาต้องเปลี่ยนให้เหลือ 3 % อันนี้คือสตีฟ จ็อบส์ หน้าที่ นี่คือทำเหมือนสตีฟ จ็อบส์ ทำคือมีนวตกรรมในการทำ 2 มีความศรัทธาในการทำ สตีฟ จ็อบส์ เขาเชื่อมั่น ศรัทธา ถ้านักการเมืองไทยหรือผู้บริหารของชาติไหนก็ตามมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำเขาทำให้ส่วนรวมเขาไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ เขาไม่ได้ทำให้คุณทักษิณ อภิสิทธิ์ มีอำนาจต่อ แต่เขากำลังจะทำเพื่อประชาชนคนไทยทั้ง 60 กว่าล้านคนอยู่ดีกินดี ได้รับความยุติธรรมทั่วหน้า ลูกหลานคนไทยจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียม ถ้าอย่างนั้นเขาจะคิดแบบสตีฟ จ็อบส์ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำถูก เพราะมันจะเป็นวิวัฒนาการปฏิวัติวงการโทรคมนาคม
สตีฟ จ็อบส์ ทำงานแบบเถ้าแก่ ถ้าผู้บริหารชาติทำงานแบบเถ้าแก่ ไม่ทำงานแบบข้าราชการประจำ มีปัญหาปั้บลงไปแก้ได้ทันทีเลย เรียกคนโน้นปลัดกระทรวงคนนี้มาจัดากรให้หมด นี่คือการทำงานแบบฉับไว แบบเถ้าแก่ ฉะนั้นแล้วเมืองไทยหรือสังคมทุกสังคมต้องการคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ สังคมมันถึงจะไปได้ แล้วก็ต้องทำ สตีฟ จ็อบส์ เขารู้ว่าเขาจะต้องสู้กับไอบีเอ็ม แต่เขาก็บอกว่าถ้าหากไม่มีเขาไอบีเอ็มมันจะครองตลาด แล้วก็จะไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้น ผู้คนจะถูกครอบงำ เหมือนกับคุณเป็นผู้บริหารประเทศ คุณมามองว่าภาษีเหล้า ภาษีเบียร์มันถูกหรือเปล่า ถูกไปต้องขึ้นให้แพงขึ้น เขาสู้กับยักษ์ใหม่ใช่ไหม กล้าเจ็บตัว ไอ้ยักษ์ใหญ่มันก็จะไปวิ่งคนโน้นคนนี้วิ่งทุกจุดเพื่อมาบีบให้เขาไม่ต้องขึ้นภาษี หรือมันก็อาจจะบอกว่า ถ้าขึ้นภาษีแล้วราไยด้มันตก รายได้จากการขายเบียร์ตก แล้วประเทศไทยจะได้ภาษีน้อยลง เขาก็ต้องกล้าพอที่จะสู้ บอกว่าถึงรายได้จะตกแต่ครายจ่ายทางด้านสาธารณสุขก็ลด เพราะคนเลิกกินเหล้ากินเบียร์ การรักษาพยาบาลก็ลดลง ฉะนั้นแล้วทุกสังคมมันต้องมีคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ ฉะนั้นสตีฟ จ็อบส์ เป็นตัวอย่างของคนที่ควรจะมีในดลกนี้ ยิ่งมีคนอย่างสตีฟ จ็อบส์ มากเท่าไหร่ในสังคมไหน สังคมนั้นจะเจริญก้าวหน้า
จินดารัตน์- เปรียบเทียบอย่างนี้ได้ไหมคะ ไหนๆ เวลาก็ใกล้หมดแล้ว แต่แอนอยากจะพูดถึงพันธมิตรฯด้วยนิดหนึ่ง ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร แอนมองคุณสนธิพูดก็คิดว่าพันธมิตรฯก็เหมือนสตีฟ จ็อบส์ ในช่วงชีวิตหนึ่งที่สร้างฐานบางอย่างเอาไว้
สนธิ - เหมือนกัน พันธมิตรฯสร้างจิตวิญญาณให้เกิดขึ้น พันธมิตรฯสร้างความถูกต้อง สร้างศรัทธาที่จะยืนหยัดบนความถูกต้อง ส่วนของพันธมิตรฯที่เป็นโอคาภยพของพันธมิตรฯ เช่นสื่อมวลชนเอเอสทีวี ก็เป็นหลักของสื่อมวลชนอันใหม่ รุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมา ส่วนพันธมิตรฯที่ทำมาค้าขายแล้วมาร่วมเป็นพันธมิตรฯ เขาก็ค้าขายด้วยความซื่อสัตว์สุจริต เขาก็มีความรักชาติรักแผ่นดินสามารถที่จะบอกทุกคนได้ว่า นี่ไม่ถูกนะ ผิดนะ
สร้างจิตวิญญาณพันธมิตรฯขึ้นมา คือพันธมิตรฯจริงๆในส่วนหนึ่งจะคล้ายๆสตีฟ จ็อบส์ อยู่มากหลายๆด้าน
จินดารัตน์- คุณสนธิ อย่างผ่านมา 3 ปีแล้ว ทั้งสูญเสียชีวิต แขนขา ถ้าพ้นจากช่วงพวกเราไปแล้วเราตายจากสังคมนี้ไปแล้ว
สนธิ - ก็เหมือนกับสตีฟ จ็อบส์ ตายไป
จินดารัตน์- มันจะยังอยู่กับเราได้ไหม
สนธิ - ผมคิดว่าถ้าหากเราสร้างจิตวิญญาณให้มันฝังลึกลงไปในสังคมได้ จิตวิญญาณไม่หายไปไหน คนเขาถามผมอย่างนี้ บอกว่า เวลานี้สังเกตให้ดีเวลาเขาทำโพลขึ้นมาเขาบอกว่าคนนิยมยิ่งลักษณ์ 30 % คนนิยมอภิสิทธิ์ 18 % คนไม่เอาทั้งสองคนเลยเกือบ 50 % แสดงว่าสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำมาตลอดนั้นมันใช้เวลา เหมือนกับสตีฟ จ็อบส์ ออกไปจากแอปเปิล 10 ปี พอกลับมา มาพิสูจน์ว่าสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ ทำนั้นถูกต้อง ทำให้แอปเปิลเจริญเติบโตได้ฉันใด ฉันนั้น เราพูดมาปากเปียกปากแฉะ ตอนพรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจก็มาหาเรื่องเรา มาใส่ร้ายเรา เอาข้อหาก่อการร้ายมาใส่เรา แล้วบอกว่าเราเล่นการเมืองแบบข้างถนน แล้วก็ออกพระราชกฤษฎีกาในการชุมนุม ออกว่าห้ามชุมนุมใกล้สถานที่ราชการ แต่พอมาวันนี้แล้วคนก็เริ่มเห็นแล้วว่า สิ่งที่เราทำถูกต้องหมดทุกอย่าง น้ำท่วมยุคประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็แก้ไม่ได้ น้ำท่วมยุคยิ่งลักษณ์ เพื่อไทย เพื่อไทยก็แก้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ก็ย้อนหลังกลับมาหาเราอีก เฮ้ย พันธมิตรฯ พูดถูกนี่หว่า แต่ว่ามันต้องใช้เวลา เหมือนช่วงที่สตีฟ จ๊อบ เขาอยู่แอปเปิ้ล แล้วเขาทะเลาะกับ จอห์น สกัลลี่ แล้วยอดขายมันตก คนก็บอกว่ายอดขายมันตก เพราะสตีฟ จ็อบส์
สตีฟ จ็อบส์ เขาก็บอกว่า มันไม่ใช่เรื่องยอดขาย มันเรื่องว่า เรากำลังขาดนวัตกรรม แล้วไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครมองเห็น ก็เหมือนเรา ไม่มีใครมองเห็นพันธมิตรฯ คนที่เจ็บปวดมากๆ คือผม เพราะหลายเรื่องที่ผมทำมามันไม่มีใครเห็น ผู้มาก่อนกาลเวลา ทำนายทายทักไว้ทุกเรื่องก็ไม่เคยผิด วันนั้นที่ผมออกทีวี เรื่องภัยพิบัติโลก เศรษฐกิจโลก กติกาใหม่ของโลก คือผมบอกว่า
วันนี้ผมมองข้ามทักษิณ อภิสิทธิ์ไปไกลแล้ว มองข้ามไปไกล คือผมไม่ได้ลูกบอลที่ไปทางนั้น แต่ผมมองข้างหน้าไปแล้ว ว่ามันจะไปอย่างไร ผมมองว่าประเทศไทยล่มสลายแน่นอน ให้ 100 อภิสิทธิ์ก็แก้ไม่ได้ ให้ 100 ทักษิณ ก็แก้ไม่ได้ วันนี้ที่ทักษิณ มาอยู่เบื้องหลังน้องสาวตัวเอง ในสภาวะสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนเมื่อปี 2544 ที่เขาเข้ามา
กติกาใหม่ของโลก ณ วันนี้ก็คือว่า ภัยพิบัติ การล่มสลายทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมมันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา สมัยก่อนมันทำนายได้ สมัยนี้ทำนายไม่ได้ คาดการณ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแล้ววิธีบริหารงาน วิธีเล่นการเมือง ระบบการเมือง วันนี้นักการเมืองสนใจแต่เรื่องอะไร ร่างโครงการแก้น้ำท่วม เพื่อหางบเข้ากระเป๋าตัวเอง คนที่พินาศ ฉิบหายไปก็คือประชาชนเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นคุณอภิสิทธิ์ คุณยิ่งลักษณ์ คุณบรรหาร ต่อไปคิดเหมือนกันหมด คิดเหมือนเดิมๆพวกนี้คือพวกไอบีเอ็มไง รูปแบบเก่าๆครอบงำประชาชนด้วยระบบวันแมนวันโหวต เอาเงินไปซื้อเสียงมา เล่นเกมส์อยู่คนเพียง 4-500 คน ใครชนะก็มีสิทธิ์ที่จะปกครองประเทศแล้วก็แบ่งสมบัติให้กับพวกเอง แล้วพอเลือกตั้งใหม่ก็วันแมนวันโหวตเหมือนเดิม คือสมบัติผลัดกันชมไปเรื่อยๆแต่คนที่พินาศฉิบหายต้องรองรับสันดานและความเลวทรามต่ำช้าของคนพวกนี้คือพวกเรา
พชร - นี่เป็นเหตุให้พันธมิตรฯ ต้องทำเหมือนผู้หญิงคนนั้นในโฆษณาที่วิ่งเข้ามาแล้วหมุนค้อนแล้วเขวี้ยง
สนธิ - พอโหวตโนก็มาบอกผมไปรับเงินทักษิณ ล่าสุดข่าวลือที่เลวที่สุด มีคนมาปล่อยข่าวบอก เขาไปฮ่องกงไปที่สูทของทักษิณ เปิดประตูไป เห็นทักษิณนั่งกับเนวินและผม โอวมันเลวจริงๆ คือมันมีทุกเวอร์ชั่น ที่สำคัญเวอร์ชั่นต่างๆเหล่านี้มาจากสายประชาธิปัตย์ทั้งนั้น แปลกมาก
จินดารัตน์- แอนก็นับถือน้ำใจพี่น้องนะคะที่ยังยึดมั่นและเถียงแทนทุกครั้ง เขาเชื่อมั่นและศรัทธาว่า ไอ้สิ่งนี้มันจะไม่เกิดแน่ๆ
พชร - คือเวลาได้ยินข่าว คิดยอ่างนี้ขึ้นมา เราในฐานะพนักงานที่นี่อยู่กับคุณสนธิ เราทั้งเจ็บใจ และทั้งขำไปพร้อมๆกันเพราะเงินเดือนก็ยังออกไม่เต็ม เดือนที่แล้วก็ออกปลายเดือน ในขณะเดียวกัน มันยังมาพูดอย่างนี้ นึกแล้วก็ขำคุณแอน
จินดารัตน์- คือต้องดูว่าพนักงานเอเอสทีวี เดือนที่แล้วต้องพูดตรงๆเขาก็ยืมสตางค์กันใช้เลยนะ ว่าคนนี้มีให้เพื่อนหยิบยืม เราอยู่กันแบบครอบครัวพี่น้อง คือเราเห็นน้องๆเราก็รู้สึก แอนก็ประทับใจนะคะที่คุณสนธิพูดคำหนึ่ง ผมขอโทษและขอบคุณ
พชร - ถึงตอนนี้ผมขอโฆษณา อย่างไรพ่อแม่พี่น้องถ้ามีโอกาสก็สบู่ไปใช้
สนธิ - พรุ่งนี้วันที่ 7 แอน ผมอยากจะบอกพี่น้องพันธมิตรฯว่า ถ้ายังเป็นพันธมิตรฯยังรักกันอยู่ หรือว่ายังมีความทรงจำในพี่น้องที่ตายไปเพื่อให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น พรุ่งนี้ไปเจอกันที่พระรูปทรงม้า ตอน 6 โมงเช้าจะมีการทำบุญตักบาตร ทุกๆ ปีวันที่ 7 เราจะมีการระลึกถึงคนที่จากไป เราไม่ควรจะขาด ผมคิดว่า ถ้าเราเห็นว่าคนพวกนี้เสียสละชีวิตรวมทั้งเสียแขนขาเพื่อสิ่งที่ถูกต้องแล้วผมคิดว่าเราต้องไปกันให้มากๆ
จินดารัตน์- อย่าคิดว่าจะเคยรักเคยเกลียดกันอย่างไร แต่ให้คิดถึงคนที่เสียชีวิต
สนธิ- ถึงจะเกลียดเราแต่อย่าลืมว่าเขาก็เสียชีวิตเพื่อให้พรรคที่คุณรัก ได้เป็นนายกฯสักครั้ง ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ดีไป 6 โมงเช้าที่ลานพระรูปฯ
จินดารัตน์- 6 โมงเช้า ที่ลานพระบรมรูป เราจะมีพิธีกันไปจนถึง 10 โมง 11 โมงเรามาต่อกันที่นี่
สนธิ - 11 โมงเรามาต่อกันที่บ้านเจ้าพระยา ซึ่งจะมีเวทีจัดกัน และผมคิดว่า คนเขาถามผมว่า ทำไมผมไม่ค่อยออกโทรทัศน์เท่าไหร่นัก ผมเหนื่อย ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ผมก็ไม่อยากออกมาแสดงความเห็น
จินดารัตน์- นี่ก็เลยเข้าทางพวกฝ่ายข่าวลือเลวๆ นะคะ ว่าที่ไม่เห็นออกมามั้ย ไม่ด่าเพื่อไทยเลย ไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เลย รับเงินเขามาแหง๋ๆ แต่วันนี้แอนคิดว่า แอนได้คำตอบ ที่จะไปตอบคนที่ชอบมาเล่นโน่น เล่านี้ให้ฟังแล้วค่ะ ว่าที่คุณสนธิไม่พูดถึงทั้ง 2 พรรค เพราะเรามองข้ามเขาไปนานแล้ว
สนธิ - มองข้ามไปแล้วครับ คือทั้งสองพรรค เป็นพรรคที่อยู่ในระบบที่เลวทราม เมื่อมันอยู่ในระบบที่เลวทราม มันก็เป็นพรรคที่เลวทราม แล้วมันก็พิสูจน์ชัดทุกอย่าง ผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปพูดถึงเรื่องพวกนี้ เพราะผมพูดถึงจนขี้เกียจจะพูดแล้ว ผมพูดไปทำไม ออกมาดั่งมาไป ด่ามา หน้าด้านกันทั้งสองพรรค ประชาธิปัตย์ก็หน้าด้าน เพื่อไทยก็หน้าด้าน จนกระทั่งผมอายที่จะด่า ผมอายที่จะด่านักการเมืองสารเลว เลวทรามต่ำช้า ถ้าจะพูดกันหยาบๆ ก็เป็นนักการเมืองที่บัดซบ
ทุกคนเลยนะ ในระบบการเมืองปัจจุบัน เป็นพรรคไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคเพื่อแผ่นดิน หรือจะพรรคเพื่อไทย เหมือนกันหมด ไม่ได้ตั้งจิตประสงค์ หรือว่าจิตสาธารณะ ที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเพื่อกระเป๋าตัวเองทั้งนั้น แล้ววันนี้ทะเลาะกันในเรื่องเก่าๆ สมัยประชาธิปัตย์ขึ้นมาก็ทะเลาะกับเขาในเรื่องนี้ เพื่อไทยขึ้นมาก็ทะเลาะกับเขาในเรื่องนี้เหมือนกัน
จินดารัตน์ - ก็ดูเอาเถิดพี่น้องชาวไทย วันนี้บ้านจมน้ำไปครึ่งหลัง แต่เขาก็ยังทะเลาะกันแย่งงบ ไปจัดงานโน้น จัดงานนี้
สนธิ - แล้วพอน้ำท่วมก็ตั้งงบช่วยน้ำท่วม ร่างเงินกัน พอหน้าแล้งก็ตั้งงบ ช่วยแล้ง คือสรุปแล้วในที่สุดประชาชนคนไทย ฉิบหายอยู่ฝ่ายเดียว ก็เพราะนักการเมืองแบบนี้ แล้วจะให้ผมมาด่าทำไม ผมอายที่จะพูดกับคนพวกนั้น เสียเวลา
จินดารัตน์ - เอาเวลาไปคิดอย่างอื่นดีกว่า
สนธิ - ไม่ใช่ ผมมาเล่าเรื่องที่มันจะกระทบต่อชาติบ้านเมืองดีกว่า ว่าถ้าขืนเมืองไทยมีนักการเมืองที่ชั่วๆ แบบนี้ พรรคเพื่อไทยที่ชั่วๆ แบบนี้ ไหนใครบอกผมไม่ด่าพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยที่ชั่วๆ เลวทรามแบบนี้ พรรคประชาธิปัตย์ที่ชั่วๆ เลวทรามแบบนี้เช่นกัน เมืองไทยล่มสลายแน่นอน เชื่อผม ไปไม่รอด
จินดารัตน์- คิดง่ายๆ อย่างนี้นะคะ ว่าเราเลิกด่าเขาไปเถอะ เพราะด่าไปก็เท่านั้น มันคงไม่มีอะไรดีขึ้น กลับมามองกันดีกว่า ว่าเราจะแก้ปัญหาที่เราประสบอยู่ด้วยตัวเองอย่างไร
สนธิ - หานวัตกรรมใหม่
จินดารัตน์- ใช่ค่ะ และพรุ่งนี้นะคะ 6 โมงเช้า พบกันที่พระบรมรูปทรงม้า แอนขออนุญาตอ่านสั้นๆ คำพูดของสตีฟ จ๊อบ นิดนึงนะคะ ก่อนจบรายการ เขาบอกว่า บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้คือความรัก ในสิ่งที่ผมทำ ของคุณนะคะ กับการติดตามชมในค่ำคืนวันนี้ พรุ่งนี้พบกัน ราตรีสวัสดิ์ สวัสดีค่ะ