หลายคนอาจไม่นึกแปลกใจกับการที่ ทักษิณ ชินวัตร ใช้โปรแกรมโทรศัพท์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต (สไกป์) เข้ามาประชุมคณะรัฐมนตรี กันที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 22 กันยายนใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง โดยมีนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งเอี้ยมเฟี้ยมอยู่หัวโต๊ะ ที่ว่าไม่น่าแปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่า เขาเป็น “เจ้าของ” ทุกอย่างในพรรคเพื่อไทย ขณะที่บรรดารัฐมนตรีมีสถานะไม่ต่างจาก “คนรับใช้” ที่ต้องทำตามคำสั่ง
ยกเว้นไว้แต่เพียงนายกรัฐมนตรีเท่านั้นที่เป็น “น้องสาวของเจ้าของบริษัท” มีฐานะเหนือกว่าคนอื่น มีสิทธิพิเศษ แม้ว่าจะไร้ประสบการณ์ ไร้ความสามารถในการบริหารก็ตาม
อย่างไรก็ดี อาจแปลกใจอยู่บ้างตรงที่ว่าการเข้ามามีบทบาทสั่งการของทักษิณนั้นทำอย่าง “โฉ่งฉ่าง” ชัดเจนเปิดเผย ไม่ได้อ้อมค้อมปิดบังกันแต่อย่างใด และที่สำคัญก็คือ มาเร็วกว่าที่คาดเอาไว้
อย่างไรก็ดี การที่ต้องลงมาเล่นเองแบบเต็มตัว ไม่ต่างจาก “นายกรัฐมนตรี” ตัวจริงแบบนี้ อาจเป็นเพราะเริ่มเห็นแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง เพราะแต่ละนโยบายประชานิยมที่นำร่องออกมาก่อน ทั้งในเรื่อง รถคันแรก-บ้านหลังแรก มีแต่เสียงวิจารณ์ดังกันขรมว่าไม่ได้ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ คนที่มีรายได้น้อยได้ประโยชน์เลย ที่สำคัญยังเป็นการสนับสนุนสร้างปัญหาแบบผิดที่ผิดทาง
ล่าสุด กรณีบ้านหลังแรกทำท่าบานปลายซ้ำเติมอีก เสียความรู้กันตั้งแต่ต้นมือ เมื่อกลายเป็นว่ามีคนไปพบหลักฐานว่าบริษัทในครอบครัวของ ทักษิณ และเกี่ยวโยงมาถึง นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในนาม “บริษัท แอสซีแอสเสท” ได้ประโยชน์เต็มๆจากโครงการดังกล่าวจากรัฐบาล
และนี่อาจเป็นคำตอบว่าทำไมถึงได้ขยายวงเงินจากเดิมบ้านราคา 3 ล้านบาทเป็นราคา 5 ล้านบาทนั่นเอง
ขณะที่โครงการรถคันแรกที่ปล่อยออกไปก่อนหน้านี้ก็มีเสียงทักท้วงว่าไม่ครอบคลุม หรือแม้แต่บริษัทรถยนต์ต่างประเทศขอให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข เพราะอาจเข้าข่าย “กีดกันการค้า” ที่ไม่เป็นธรรม เพราะเป็นรถยนต์นำเข้า ไม่ได้ประกอบในประเทศ หรือแม้แต่กรณีซีซี 1600 แต่มีมาตรฐานในการรักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดน้ำมัน ฯลฯ รวมไปถึงการปล็ดล็อคอายุการครอบครองรถ กลายเป็นว่าต้องกลับมาแก้ไขกันรายวัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากกรณีบ้านหลังแรก ที่ทำท่าว่าจะต้องกลับมาแก้ไขใหม่อีก ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า “ไม่รอบคอบ” ออกไปในโทนมั่วๆ
นี่ยังไม่นับรวมปัญหาน้ำท่วมหนักแบบยืดเยื้อ สร้างความเสียหายเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยเสียด้วย ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้จะเที่ยวอ้างโน่นอ้างนี้ โทษคนโน้นคนนี้เพื่อเบี่ยงเบนไปวันๆคนไม่ได้อีกแล้ว และที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นแนวโน้มเพื่อชี้ให้เห็นว่า นายกฯหญิง ยิ่งลักษณ์ จะโชว์ฝีมือให้เข้าตาพอเป็นที่หวังได้เลย ส่วนใหญ่ก็ออกมาแบบพื้นๆ เช่นกำลังเร่งรัด กำชับให้ ผู้ว่าฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานช่วยเหลือแบบ “บูรณาการ” ซ้ำๆกันอยู่อย่างนี้ทุกวัน นานเข้ามันก็เครียดเหมือนกัน
เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าออกมาเกินคาด แล้วติดลบเร็วกว่ากำหนดแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ ทักษิณ ในฐานะ “เจ้าของ” จะ “นั่งไม่ติด” ต้องลงมาสั่งการโดยตรง ติวเข้มตำหนิกันเป็นรายตัวเหมือนกับประธานบริษัทด่าลูกน้องยังไงยังงั้น แต่เที่ยวนี้ดันถูกจับจ้องจากภายนอกมันก็ยิ่งได้เห็นอาการไม่ดีดังกล่าว เพียงเพียงแค่เดือนเศษเท่านั้นยังโดนขนาดนี้ หากผ่านไปอีกสักระยะหากยังไม่กระเตื้องตีตื้นขึ้นมา “งานใหญ่” ที่กำหนดเอาไว้หลายอย่าง ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรมลบล้างความผิด การแบ่งเค้กผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทย มันไม่จบเห่กันหรือ
การออกตัวเร็วและชัดเจนทักษิณ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงเที่ยวนี้ ถือว่าเสี่ยงเอาการ นอกจากจะกลายเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ได้เต็มปากแล้ว ยังส่งผลให้ศรัทธาของชาวบ้านลดลงอย่างฮวบฮาบ เพราะกลายเป็นว่าต้องเสี่ยงบวก-ลบ หากผลออกมาเป็นบวก มันก็ได้ใจ แต่ถ้าออกมาตรงข้าม เขาก็ต้องรับไปเต็มๆ ซึ่งแนวโน้มน่าจะออกมาอย่างหลัง เมื่อพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างมันไม่เป็นใจเอาเสียเลย ไม่ว่าปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
อย่างไรก็ดี หากใครรู้จักทักษิณดีก็จะพบว่า เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสี่ยง และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาคับขันก็คงใช้วิธีทางการตลาด มาสร้างภาพเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งที่ผ่านก็มักใช้วิธีการแบบนี้อยู่เสมอ แม้ว่าคราวนี้อาจไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะมีคนรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญความล้มเหลวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าการโฆษณาก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ดังนั้น การที่ทักษิณต้องลงมานั่งกำกับโดยตรงแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็เห็นอาการชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มเป๋ เดินไม่ตรงทางตั้งแต่ต้นมือ แต่ขณะเดียวกัน หาก ทักษิณ ยิ่งเปิดตัวแรงแบบนี้มันก็น่าจะทำให้กอดคอกันพังทั้งขบวนได้เร็วขึ้น!!