อดีตรองนายกฯ ความมั่นคง แนะสังคมจับตา รบ.ปู หลังพบตัวแทนกลุ่ม “เชฟรอน” ชี้เจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล-เขตแดนจะบริหารอย่างไรก็ต้องผ่านรัฐสภาก่อน หวั่นเหตุการณ์ 3 จว.ภาคใต้ทวีความวิกฤต ยี้ “พัลลภ-ทวี” กุมบังเหียนดับไฟใต้ ไม่แปลกใจ “แม้ว” สั่ง “ขวัญชัย” เดินหน้าตั้งหมู่บ้านสร้างลัทธิแดงหวังยึดประเทศไทย
วันนี้ (20 ก.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มอบเหรียญเกียรติยศให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัว ในฐานะที่ทำคุณงามความดีว่า ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะบุคคลเหล่านี้มีความสัมพันธ์ต่อกัน และทำงานร่วมกันมาโดยตลอด จึงถือเป็นเรื่องธรรมดาและคงไม่ต้องอธิบายอะไร เพราะคนไทยจะรู้สึกและสัมผัสได้เอง ซึ่งจากนี้ไปจะมีการตามการแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง 2 ประเทศอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ใครจะมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไร ต้องไม่ให้ประเทศชาติขาดทุน แต่ขณะนี้ต้องดูก่อนยังรีบสรุปอะไรไม่ได้
เมื่อถามว่าหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ได้เดินทางกลับมาจากประเทศกัมพูชา และได้มีตัวแทนจากกลุ่มบริษัทเชฟรอนเข้าพบนั้น ถือว่าเป็นการส่อนัยอะไรหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องที่จับตาดูเป็นพิเศษ การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศเป็นเรื่องของหลักการ และเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ เพราะหลังจากมีการตกลงทั้ง 2 ประเทศแล้วก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่าเขาได้พูดถึงการบริหารจัดการพื้นที่นี้อย่างไร เช่น จะแบ่งพื้นที่ว่าโซนไหน ใครเป็นคนดูแล หรือจะเอาทั้งหมดตั้งเป็นบริษัทร่วมกัน ต้องดูบริษัททั้งหมดได้รับใบอนุญาตสัมปทานหรือไม่ ทั้งๆ ที่เขตแดนยังไม่ชัดเจน จะได้รู้ว่าเขาได้ไปอย่างโปร่งใสหรือไม่ และหากได้บริหารร่วมกันแล้วจะจัดการให้มีการประมูลใหม่หรือไม่อย่างไร ก็ต้องไปพูดคุยกันต่อ
เมื่อถามว่าแม้ว่าจะมีการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 คิดว่าจะมีช่องว่างตรงไหนที่สามารถให้รัฐบาลแอบไปดำเนินการบางอย่างได้โดยที่ไม่ต้องผ่านรับสภาได้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนคิดว่าในหลักการคงเป็นไปได้ยาก คิดว่าพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลจะร่วมกันบริหารอย่างไร จะแย่งผลประโยชน์อย่างไร ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเจรจากัน แต่เราต้องตั้งคำถามและหาคำตอบว่าเขาจะบริหารอย่างไร เช่น กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย ก็มีการตั้งบริษัทร่วมกัน 2 ประเทศ ซึ่งทุกอย่างต้องโปร่งใส เมื่อถามว่าหากเขายึดเอาบริษัทที่ได้รับสัมปทานไว้แล้วเป็นผู้ที่ดำเนินการต่อไปเนื่องเลยจะโปร่งใสหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ก็ต้องดูอีกว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ส่วนทางพรรคเพื่อไทยเตรียมตั้งกระทู้กรณีที่นายสุเทพไปเจรจาลับกับนายซกอาน นายสุเทพกล่าวว่า ตนก็จะได้ชี้แจง เพราะไม่มีอะไรที่ต้องเป็นเรื่องกังวลใจอะไร
นายสุเทพกล่าวถึงข้อซักถามที่ว่าสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่ที่จะเกิดเหตุรุนแรงเพิ่มมากขึ้นและคิดว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ว่า ตนไม่ทราบจริงๆแต่ดูจากการที่รัฐบาลเลือกคนที่จะไปรับผิดชอบปัญหาตรงนี้ยังไม่ถูกต้อง ตนเรียนเลยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯกล่าวว่ายังไม่มีแนวความคิดเปลี่ยนตัวเลขาฯ ศอ.บต.แต่การส่งคนลงพื้นที่ไปดูปัญหา พ.ต.อ.ทวีได้ติดตามไปด้วย นายสุเทพกล่าวว่า ตนไม่เคยได้ยินพื้นฐานหรือประสบการณ์ของ พ.ต.อ.ทวีในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อน
เมื่อถามว่า การวางคนไปดูแลปัญหาไม่ตรงตามความเป็นจริงจะมีปัญหาหรือไม่เพราะปัญหานี้เรื้อรังมาหลายปี นายสุเทพกล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วงเพราะว่าครั้งที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ประเมินสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ผิดพลาด กล่าวหาว่าเป็นโจรกระจอกและใช้หลักวิธีการในการแก้ปัญหาด้วยการอุ้มฆ่าจึงทำให้สถานการณ์บานปลาย วันนี้ก็เหตุการณ์คล้ายกับอดีต นำคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัญหาก็น่าจะซ้ำรอยเดิมกับอดีต ซึ่งตนก็กังวลใจ แต่ก็ต้องรอดูต่อไป
นายสุเทพกล่าวถึงกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯ เสนอตัวต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เพื่อเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แทนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า กล่าวถึงชื่อท่านก็กังวลใจแล้ว เพราะประวัติในการทำงานของท่านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังทิ้งรอยแผลอยู่ มันคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ตามกฎหมาย กอ.รมน.อำนาจจะอยู่ที่นายกฯ นายสุเทพกล่าวว่า ถูกต้อง เพราะช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ นายอภิสิทธิ์ก็ทำหน้าที่ ผอ.กอ.รมน.
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมอบหมายหน้าที่ ผอ.กอ.รมน.ให้ พล.อ.พัลลภ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพ้นจากความรับผิดชอบตามกฎหมายหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ปกติกฎหมายระบุว่าเป็นหน้าที่ของใคร แม้จะมอบหน้าที่ให้คนอื่นก็จะยังต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.พัลลภ มีเหตุผลอะไรถึงกระตือรือร้นเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ นายสุเทพกล่าวว่า ตนไม่ทราบจริงๆ เรื่องนี้ต้องไปถามท่านว่าท่านติดใจอะไรถึงอยากจะมาทำหน้าที่ ผอ.กอ.รมน. อย่างไรก็ตาม ตนไม่สามารถที่จะไปคาดเดาได้ว่า พล.อ.พัลลภจะทำอะไรผิดหรือไม่ แต่ในความคิดทั่วไป คิดว่ายังมีผู้อื่นที่มีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้ได้มากกว่า และประชาชนจะมีความสบายใจมากกว่า ส่วนจะเป็นการพยายามใช้เรื่องความมั่งคงเพื่อมาสร้างฐานทางการเมืองหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนสงสัยและจับตามองอยู่
นายสุเทพกล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก ได้พูดคุยกับนายขวัญชัย ไพรพณา ประธานชมรมคนรักอุดรว่าหมู่บ้านเสื้อแดงจะต้องยังคงดำเนินต่อไป นายสุเทพกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ตนได้พูดไว้หลายครั้ง วันนี้สิ่งที่เขาทำต้องเรียกว่าลัทธิ แต่ตนไม่รู้จะเรียกว่าลัทธิอะไร ซึ่งน่าจะเรียกลัทธิแดงไปก่อน วันนี้เขายังเดินหน้าสมคบคิดเพื่อให้ลัทธิแดงครองประเทศไทย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องติดตามในสิ่งที่เขาทำและจะต้องตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในขณะนี้เหมือนมีการทำงานเป็นขบวนการ วิชาการก็ส่วนหนึ่ง การเมืองก็ส่วนหนึ่ง นายสุเทพกล่าวว่า ตนขอเรียนว่าขบวนการที่เขาทำมาทำอย่างเป็นระบบ มีทั้งพรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ มีเงินทุนมหาศาลที่คอยให้การสนับสนุน มีการดำเนินการในต่างประเทศ ตนจึงบอกว่าประชาชนคนใดที่ไม่เห็นด้วยให้ลัทธิแดงครองเมือง ก็ต้องตั้งสติร่วมมือกันให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วบ้านเมืองก็จะเสียหาย ส่วนจะเป็นการนำประเทศเข้าสู่การนองเลือดอีกครั้งหรือไม่นั้น ตนมองว่าเราต้องพยายามอย่าให้ประเทศเข้าสู่การนองเลือด เรายังมีโอกาสที่จะยังทำได้อยู่ ทุกภาคส่วน ประชาชน และทุกองค์กรต้องหาเวลามานั่งหารือกันว่าสถานการณ์อย่างนี้จะนำไปสู่อะไร เราคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศจะปกป้องบ้านเมืองของเราอย่างไร
ส่วนกรณีที่ นายนิสิต สินธุไพร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวว่าหลังวันที่ 5 ธ.ค.จะมีการพยายามล้มล้างรัฐบาลจึงขอให้คนเสื้อแดงเตรียมตัวไว้ นายสุเทพกล่าวว่า สิ่งที่ตนกลัวที่สุดคือ คนเสื้อแดงจะล้มรัฐบาลมากกว่า ถามย้ำว่าอะไรที่เป็นปัจจัยทำให้คนเสื้อแดงล้มรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า ไม่สามารถพูดในตอนนี้ได้ แต่ว่าเขามีเป้าหมายชัดเจน เมื่อไหร่ที่ยังสามัคคีกันได้เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันก็ทำลงไป แต่สิงที่ผมกลัวมากกว่านั้นคือ เขาร่วมมือกันเล่นงานคนไทยและประเทศไทยให้อยู่หมัดซึ่งเป็นเรื่องที่ตนกังวลใจ
ถามว่าระยะเวลาที่เขาคิดเอาไว้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายสุเทพกล่าวว่า เขาก็ต้องเร่ง เขาก็กำหนดระยะเวลาไว้ในช่วง 3-4 ปีนี้ ที่เขาจะต้องยึดครองให้หมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถามอีกว่า คิดว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ตนคิดว่าคนไทยคงไม่ยอม