ผ่าประเด็นร้อน
เป็นเพราะต้องเจอศึกหนักอย่างไม่คาดหมายตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม ที่ปีนี้ปริมาณน้ำมีจำนวนมหาศาลมากที่สุดในรอบหลายปี มิหนำซ้ำยังท่วมหนัก ท่วมนานแบบยืดเยื้อ เพราะนอกเหนือจากต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ชาวบ้านต้องจมแช่น้ำอยู่นานนับเดือนแล้ว ในอนาคตหลังจากนี้ก็ต้องฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลตามมา
ภัยธรรมชาติดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน และหนักหน่วงแบบนี้ มันก็กลายเป็น “ภาคบังคับ” ที่จะต้องแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนให้ลุล่วงไปให้ได้ ซึ่งก็ต้องใช้กึ๋นแบบของจริงเข้าเผชิญเหตุ เพราะบางครั้งจะใช้ “ตัวช่วย” ก็คงทำได้ไม่เต็มที่ และที่สำคัญพื้นที่ประสบภัยดังกล่าวส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ฐานเสียงหลักของ พรรคเพื่อไทยในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลาง ดังนั้นต้องบริหารจัดการให้การแก้ปัญหาความเดือดร้อนจนเกิดความพอใจมากที่สุด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ยากเอาการ เพราะรู้กันอยู่แล้วว่ามีพื้นที่ประสบภัยในวงกว้าง การช่วยเหลือให้ทั่วถึงจึงลำบาก มิหนำซ้ำเสียงวิจารณ์จากขี้ปากคนนี่มันเอาใจยากเสียด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาพิจารณากันด้วยความเป็นจริง กว่า 1 เดือนที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่ายังเป็นช่วงเวลาอันสั้น ยังไม่อาจพิสูจน์อะไรให้เห็นเด่นชัด แต่อย่างน้อยก็ต้องพอเห็นแววที่ส่งสัญญาณออกมาให้เห็นบ้าง ซึ่งหลายคนบ่นออกมาว่า “น่าผิดหวัง” เพราะผลที่ออกมามันไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อน หรืออาจจะเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำไป เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพูด การรับรู้เรื่องราวถูกมองว่า “กลวง” ไม่มีแก่นสาร ซึ่งผลสะท้อนความรู้สึกจากผลสำรวจที่ออกมาในช่วงนี้ต่างออกมาตรงกัน ราวกับว่า “หนึ่งเดือน”ที่บริหารประเทศยาวนานเหมือนกับผ่านมา “หนึ่งปี” ไม่มีผิด
นอกจากนี้ สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าประสิทธิภาพนั้นเป็นของจริงแค่ไหนเริ่มพิสูจน์ออกมาให้เห็นจากหลายนโยบายที่โม้เอาไว้มากมายในช่วงหาเสียง แต่เอาเข้าจริงกลับทำไม่ได้ หรือทำแล้วจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต เช่นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท การลดราคาน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งก็มีเสียงวิจารณ์รับรู้กันไปแล้ว ล่าสุดกำลังเข็ญโครงการลดภาษีรถยนต์คันแรก แม้ว่าจะเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย แต่ก็ถูกตำหนิว่าได้ไม่คุ้มเสียเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสิ้นเปลือง ก่อมลพิษ ทั้งที่ตามปกติรถยนต์ก็ขายดีอยู่แล้ว มีคนไปแย่งกันจองกันจนแน่นขนัดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งเสริมโดยการใช้มาตรการทางภาษีไปจูงใจเลย
มิหนำซ้ำยังมีเรื่องของการโยกย้ายข้าราชการ แบบเล่นพวก แม้ว่ากรณีนี้อาจจะไม่ต่างจากรัฐบาลก่อน แต่มันก็สร้างภาพลบให้เกิดขึ้น รวมไปถึงความกระตือรือร้นในเรื่องการช่วยเหลือ “คนในครอบครัว” ที่สำคัญก็คือแทนที่จะระดมสรรพกำลังไปช่วยเหลือความเดือดร้อนของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน แต่ที่ไหนได้ภาพที่ออกมากลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือพี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด ออกไปในทาง “เห็นแก่ตัว” ชัดๆ
ขณะเดียวกัน การเดินทางไปเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน เริ่มต้นที่บรูไน ซึ่งก่อนหน้านี้อ้างว่าเป็นการเรียงตามลำดับตัวอักษร แต่ตามข่าวล่าสุดที่อ้างคำพูดของ ทักษิณ เองว่า มีผู้นำสองประเทศที่มีบุญคุณช่วยเหลือในยามยากจนนับถือเป็นพี่น้อง โดย “พี่ใหญ่” ก็คือสุลต่านบรูไน ตัวเองเป็นคนกลาง ส่วนฮุนเซนก็เป็น “น้องเล็ก” ดังนั้นถ้าให้สรุปก็ต้องบอกว่าสาเหตุที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ไปเยือนบรูไนนั้นที่แท้ก็ไปในฐานะตัวแทนพี่ชายที่ไปเยี่ยมตอบแทนในฐานะที่เคยเกื้อหนุนมาอย่างนั้นใช่หรือไม่ เป็นวาระส่วนตัว อย่างนั้นหรือ
ส่วนการเยือนกัมพูชาก็ไม่ได้แตกต่างกัน นอกจากถูกจับจ้องในเรื่องผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานในอ่าวไทยแล้ว ยังเป็นการเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำให้กับ ทักษิณ ที่เป็นพี่ชายของนายกรัฐมนตรี เป็นลักษณะของการเดินทางไปเยือนเสมือนไปเยี่ยมญาติ ต่างตอบแทนอันเนื่องจาก ฮุนเซน มีความสนิทชิดเชื้อนั่นเอง
จากผลงานดังกล่าว ทุกอย่างมันประจักษ์แจ้งเห็นจริง ล้วนแล้วแต่มีภาพติดลบเป็นรายวัน และที่สำคัญเวลานี้ราคาข้าวของ ค่าครองชีพไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับถีบตัวขึ้นมาสูงลิ่ว แม้ต้องยอมรับความจริงว่าส่วนหนึ่งมาจากเรื่องปัญหาน้ำท่วมทำให้เสียหาย แต่หากยังเป็นแบบนี้อีกนานมันก็ทำให้เสียงเชียร์ที่เคยดังมันก็ต้องลดลงอย่างแน่นอน
เมื่อแนวโน้มออกมาแบบผิดคาด ไม่เป็นไปตามคาดหมาย เสียงวิจารณ์ในทางลบดังมากกว่าเสียงชื่นชม มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องหาทางแก้เกมใหม่ โดยเฉพาะต้องทำให้บรรดา “รากหญ้าสีแดง” ทั้งหลายให้ออกแรงหนุนกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องสร้างความฝันในทำนองว่า “ตัวจริง” กำลังจะกลับเข้ามาเพื่อสร้างความสุขให้เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเหนือจาก “เทวดาทักษิณ” เท่านั้น
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ล่าสุดมีเสียงส่งสัญญาณของ ทักษิณ จากกัมพูชาให้ได้ยินอีกครั้งว่าอีกไม่นานจะกลับมา “กินส้มตำ” กับพี่น้องคนไทย ซึ่งอีกด้านหนึ่งมันก็เข้าใจได้ว่าเป็นการขอร้องให้อดทนรออีกนิดเดียว อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจเป็นอื่นไปเสียก่อน ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการโหมประโคมข่าว “อำมาตย์” จ้องโค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ภายในสิ้นปีนี้หรือ 6 เดือนข้างหน้า พร้อมกับเรียกร้องกันรวมพลังกันต่อต้าน
มุกแบบนี้หากพิจารณาอย่างรู้ทัน ก็ย่อมมองออกว่าเป็นความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ เป็นการ “ปลุกผีอำมาตย์” ขึ้นมาหลอกหลอน เพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวและความเลวของตัวเอง เพราะประเมินแล้วว่าอาการของรัฐบาล ปู ยิ่งลักษณ์ ที่ตั้งใจ “โคลนนิ่ง” มันเริ่มซวนเซเร็วเกินคาด เร็วกว่าตารางเวลาที่กำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ และช่วงเวลาสิ้นปีหรือ 6 เดือน หากสถานการณ์ยังป้อแป้แบบนี้ รับรองว่าจบไม่สวยแน่นอน!!