xs
xsm
sm
md
lg

“กษิต” ฝากสื่อเขมรเตือนรัฐจุ้นภายในไทยส่อผิดกฎบัตรอาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (แฟ้มภาพ)
สื่อเขมรเยี่ยมชมประชาธิปัตย์ “กษิต” เผยเห็นพ้องชำระประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยันพรรคไม่เคยจุ้นเพื่อนบ้าน ฝากเตือนรัฐกัมพูชาเข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายใน ส่อละเมิดกฎบัตรอาเซียน โอ่สมัย “มาร์ค” ยึดรัฐธรรมนูญ-เอ็มโอยู 43 จี้ข้าราชการ กต.เดินเกมล่า “นช.แม้ว” ไม่ต้องรอเจ้ากระทรวงสั่ง สับ “ทักษิณ” อุดมการณ์อยากปกครองคนเดียว ชี้ส่อกระทบสัมพันธ์บรูไน ซัดจับ “วีระ-ราตรี” มีนัย

วันนี้ (19 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำคณะสื่อมวลชนจากประเทศกัมพูชาเข้าพบว่า เป็นการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้สื่อข่าวไทย-กัมพูชาหลังว่างเว้นมานาน โดยในการหารือครั้งนี้ได้พูดคุยในเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ทั้งในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และรัฐบาลปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังได้พูดคุยปัญหาเฉพาะ อาทิ ประเด็นปราสาทพระวิหาร ทั้งนี้ โดยรวมตนได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าได้รู้จักกับสมเด็จฯ ฮุนเซนมานาน และมีความมุ่งมั่นอยากจะเห็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทย-กัมพูชา โดยสิ่งหนึ่งที่วงสนทนาเห็นร่วมกันว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น คือ 1.ในเรื่องประวัติศาสตร์ที่ในอดีตมีความระหองระแหงกัน ซึ่งจากนี้ไปจะต้องมีการชำระประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในส่วนไทย-กัมพูชาเพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ ป้องกันไม่ให้นักการเมืองนำไปใช้ประโยชน์ 2.ยืนยันว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีความคิดที่ไม่ดีงามต่อกัมพูชา ไม่เคยมีผลประโยชน์ทับซ้อนและแทรกแซงกิจการภายในแต่อย่างใด

นายกษิตกล่าวว่า ได้ฝากบอกผู้สื่อข่าวกัมพูชาให้กลับไปสื่อสารกับทางการกัมพูชาว่า ขณะนี้ประเทศไทยค่อนข้างหวาดหวั่นพฤติกรรมสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีการต้อนรับนักโทษที่หนีคดีในประเทศไทย แทนที่จะให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เหมือนกับมีพฤติกรรมถือหางกลุ่มการเมือง อีกทั้งยังแสดงออกให้เห็นว่าจะไม่เอากลุ่มการเมืองอื่นเลยนอกจากกลุ่มที่ตัวเองสนับสนุน ซึ่งทั้งหมดเข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในที่มิตรประเทศไม่น่าทำ นอกจากนี้ กรณีดังกล่าวยังถือว่าละเมิดกฎบัตรอาเซียนว่าด้วยหลักการไม่แทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกิจการภายในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องไม่พึงกระทำ ส่วนกรณีปราสาทพระวิหารนั้นยืนยันว่าในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นเรื่องของการทำทุกอย่างให้ถูกต้องกับรัฐธรรมนูญ และเอ็มโอยูปี 43 ที่มีอยู่ ไม่มีนอกมีใน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

“สื่อกัมพูชาคงจะเข้าใจหลังจากที่ได้ฟัง และให้ความร่วมมือในการสื่อสารออกไป ส่วนรัฐบาลกัมพูชาจะให้ความร่วมมือหรือไม่นั้นเป็นอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา แต่การกระทำของรัฐบาลกัมพูชาที่ไปร่วมสังฆกรรมด้วยนั้นมันมากกว่าการไม่ให้ความร่วมมืออีก เพราะถือว่านอกจากไม่ให้ความร่วมมือกับสังคมและกระบวนการยุติธรรมไทยแล้ว ยังไปถือหางกลุ่มการเมืองใดกลุ่มหนึ่งอีก แตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่อย่างไรก็คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคฝ่ายค้านกัมพูชาเป็นอันขาด เพราะไม่อยากยุ่งอำนาจอธิปไตยของเขา ดังนั้น อยากให้รัฐบาลของสมเด็จฯ ฮุนเซนปฏิบัติต่อประเทศไทยแบบนี้ด้วย”

เมื่อถามว่า มองการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศอย่างไรกับการรู้ที่อยู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีที่ดินรัชดาฯ แล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ นายกษิตกล่าวว่า งานของกระทรวงการต่างประเทศนั้นต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งานของข้าราชการประจำที่ดำเนินการอยู่แล้ว และงานที่เป็นนโยบายจากรัฐบาล ตนคิดว่าการที่จะดำเนินการเกี่ยวกับเอาผู้ร้ายในต่างแดนกลับมาเหมือนกรณีในอดีต เช่น กรณีนายปิ่น จักกะพาก นายราเกซ สักเสนานั้น เหมือนเป็นงานที่ต้องปฏิบัติทั่วไปที่จะต้องได้รับความร่วมมือกับเจ้าของเรื่อง นั่นคือสำนักงานอัยการสูงสุด และตำรวจ ซึ่งเมื่อทราบว่าผู้ต้องหาอยู่ที่ใดก็สามารถดำเนินการได้เลย ไม่ต้องรอให้รัฐมนตรีการต่างประเทศคนใหม่สั่ง ตำรวจที่จะติดต่อกับรัฐบาลกัมพูชา หรือจะบอกกล่าวกับรัฐบาลกัมพูชาว่าอย่าให้คนไทยใช้ประเทศของเขาเป็นฐานเล่นการเมืองของไทย เหมือนที่ประเทศไทยจะไม่ยอมให้ฝ่ายค้านของประเทศอื่นมาเป็นเวทีทางการเมืองภายใน

“กรณีแบบนี้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงได้ จะเรียกทูตกัมพูชามาชี้แจง หรือทูตของเราที่พนมเปญพูดกับรัฐบาล ส่วนเขาจะฟังหรือไม่ฟังนั้นอีกเรื่องหนึ่ง อะไรที่ทำได้ก็ทำ ไม่ต้องดูทิศทางลมทางการเมือง ถือว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานอัยการ กระทรวงการต่างประเทศ ตำรวจ จะบอกว่ารัฐมนตรีไม่สั่งก็กระไรอยู่ เพราะเรื่องแบบนี้ก็ทำมาโดยตลอด”

นายกษิตยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุที่ประเทศกัมพูชาว่าทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา และบรูไน เปรียบเสมือนเป็นพี่เป็นน้องกันว่า ยังไม่ได้ฟังว่าท่านสุลต่านของประเทศบรูไนยอมรับการเป็นพี่น้องด้วยหรือไม่ เพราะท่านเป็นอำมาตย์ และบรรดาไพร่จะคบกับอำมาตย์ต้องขออนุญาตก่อน หรือไพร่กลายเป็นอำมาตย์หมดแล้ว ส่วนการรักกันเช่นนี้เป็นความรักแบบมีอุดมการณ์อย่างไร จะเป็นอุดมการณ์ที่อยากจะปกครองบ้านเมืองโดยพรรคพรรคเดียว หรือคนคนเดียว มีระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในประเทศอาหรับแล้วว่าการปกครองด้วยคนคนเดียวนั้นล้าสมัยและสวนทางกับยุคโลกาภิวัตน์ สวนทางกับความประสงค์ของประชาชนทั้งในไทย กัมพูชา บรูไน และชาวอาหรับทุกที่ที่ต้องการสิทธิเสรีภาพ เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องการให้พรรคเดียว คนเดียวมาปกครอง

เมื่อถามว่า กรณีของประเทศบรูไนนั้นจะมีผลกระทบอย่างไร นายกษิตกล่าวว่า กระทบแน่นอน เพียงแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะทำอะไรที่ถูกต้องหรือไม่ และเป็นเรื่องที่ท่านสุลต่าน บรูไนจะรับหรือปฏิเสธ จะฟังแต่สมเด็จฯ ฮุนเซน และ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องบอกให้ชัดว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร และเหตุใดถึงมีอุดมการณ์แบบเดียวกัน เรื่องนี้ได้สร้างความสงสัยให้กับประชาชน ทั้งนี้ตนทราบข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปบรูไนหลายครั้ง ทั้งอ้างว่าไปรักษาตัวซึ่งก็ถือเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่หากมีเรื่องธุรกิจ การเมือง ก็ต้องเตือนให้ประเทศบรูไนพึงระวัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้พูดคุยกับสื่อกัมพูชาถึงกรณีนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒน์ไพบูรณ์ กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ถูกจับกุมตัวที่ประเทศกัมพูชาหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ก็ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวกัมพูชาว่าระบบของไทยช้ากว่าระบบของกัมพูชา เพราะฉะนั้นตอนที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาได้ส่งตัวนักโทษชาวไทยมุสลิมมาให้ เขาก็สามารถทำได้ทันทีตามระบบของเขา แต่ของเราต้องมีการดำเนินการผ่านขั้นตอน ซึ่งก็ใกล้จะเสร็จแล้ว แต่เราไม่เคยเบี่ยงเบนความรับผิดชอบ ความจริงกัมพูชาสามารถดำเนินการในกรณีนักโทษชาวไทยมุสลิมได้ ทางกัมพูชาก็ไม่จำเป็นต้องรอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ที่จะสามารถเร่งกระบวนการส่งนายวีระ และ น.ส.ราตรี ได้เช่นกัน เพราะการจับกุมถือเป็นคดีการเมืองมากกว่าคดีอาญา

นายกษิตกล่าวว่า ถ้าทางกัมพูชาอ้างว่าเราไม่เคารพกฎหมายของกัมพูชาก็ต้องมีการทะเลาะด้านการเมืองและทางด้านความมั่นคง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวไทยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ทั้งนี้รู้ๆ กันอยู่ว่าการจับกุมนายวีระ และน.ส.ราตรี พร้อมด้วยคนไทยอีก 6 คนมีนัยทางการเมืองมาตลอดเวลา ถ้าหากไม่จับและปล่อยมาทันทีก็สามารถทำได้ แต่ครั้งนี้จับมาแล้วก็นำตัวทั้งหมดไปยังกรุงพนมเปญหมด
กำลังโหลดความคิดเห็น