โฆษก ปชป.เตือน “นายกฯ ออนไลน์” หยุดอวดภูมิปัญญาปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบนเฟซบุ๊ก หวั่นทำไทยเสียเปรียบบนเวทีโลก เหน็บบารมีถูกบั่นทอน จึงต้องหนีไปแสดงออกผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทน เตือน รบ.อย่าฉวยโอกาสสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเขมร แสวงหาผลประโยชน์บนอธิปไตยไทย
วันนี้ (18 ก.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อ้างว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทยหรือไม่ว่าต้องรอคำสั่งศาลโลก แต่กลับไปโพสข้อความในเฟซบุ๊กว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศไทย ตนมีความเป็นห่วง เพราะขณะนี้ประชาชนมีความสับสนอยู่แล้วว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่นอกประเทศ หรือรองนายกฯ บางคนดูมีอำนาจบารมีเหนือกว่านายกฯ แต่ขณะนี้กลับมีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในเฟซบุ๊กอีกคนหนึ่งซึ่งมีความคิดความอ่านไม่ตรงกับตัวจริง ตรงนี้ประชาชนต้องช่วยกันพิจารณา ตนเข้าใจว่าประเด็นเรื่องความสับพันธ์ระหว่างประเทศ และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจในการชี้แจง หากไม่ทราบก็อย่าพูด เพราะการที่พูดกลับไปกลับมา พูดอย่างหนึ่งชี้แจงในเฟซบุ๊กอย่างหนึ่ง ผลเสียเกิดขึ้นกับประเทศ และกับท่าทีในการต่อสู้ในศาลโลก และท่าทีการเจรจากับกัมพูชา ตนคิดว่าเรื่องนี้ถ้าไม่ทราบว่าหากมันยากเกินไป ก็บอกเลยว่าไม่ทราบ อย่าไปสร้างเงื่นไขให้ไทยตกเป็นเบี้ยล่าง และตกเป็นรองในเวทีระหว่างประเทศอีก และไม่แน่ใจว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่อยู่ทำเนียบ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในสังคมออนไลน์เป็นคนคนเดียวกันหรือเปล่า
นายชวนนท์กล่าวว่า ตนขอย้ำว่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนที่สองฝ่ายต่างอ้างสิทธิตรงบริเวณประสาทเขาพระวิหารก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องช่วยกันในการแก้ไข และต้องยืนยันตามแนวสันปันน้ำว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของไทย ส่วนการเจรจาพื้นที่ทางทะเลที่นายกฯ บอกว่าจะเดินตามเอ็มโอยูทุกอย่าง จะเร่งรัดให้มีการเจรจาต่อเนื่อง และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ด้วยกันกับสมเด็จฯ ฮุนเซนที่กัมพูชา นายกฯ แค่มาเปิดสวิตช์บ่อน้ำมัน ส่วนคู่เจรจากำลังดำเนินการอยู่ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่ทางทะเลมีแหล่งน้ำมันที่มีคุณค่ามหาศาล นายกฯ พยายามเร่งเจรจาบนกรอบเอ็มโอยูที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ เรื่องนี้จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาพยายามโยนความผิดให้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่ามีการเจรจาลับ 3 ครั้ง ตนขอยืนยันอีกครั้งให้ประชาชนไทยเข้าใจว่า ไม่มีการเจรจาลับใดๆ ทั้งสิ้นในขณะนั้น ไม่ว่าจะกับสมเด็จฯ ฮุนเซน หรือรองนายกฯ นายซก อาน การเดินทางไปของนายสุเทพทุกครั้งก็ไปอย่างเปิดเผย และมีการรายงานรายละเอียดจากการหารือของสื่อไทยทุกครั้ง เชื่อว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน กับนายซก อาน ก็ทราบดี แต่พยายามสร้างกระแสกลบข่าว และรีบเร่งเจรจาผลประโยชนในอ่าวไทยกับรัฐบาลชุดนี้
ส่วนกรณีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กล่าวหาว่ารัฐบาลชุดที่แล้วไม่ทำอะไร กับผู้หลบหนีคดี แม้ได้พบปะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ประเทศอังกฤษ นายชวนนท์กล่าวว่า ความแตกต่างคือ การจะส่งหมายจับกุมตัวชั่วคราวไปยังแต่ละประเทศ เราต้องทราบล่วงหน้าว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน แต่กรณีของนายอภิสิทธิ์ที่ไปพบกับนายใจ อึ๊งภากรณ์ เป็นการพบกันโดยบังเอิญ ตรงกันข้าม ขณะนี้นายสุรพงษ์ทราบดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ มีกำหนดการชัดเจน รัฐบาลสามารถขอหมายไปที่อัยการได้ แต่กัมพูชาจะจับหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าไม่ทำ รมว.ต่างประเทศจะเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่ต้องไปบิดเบือนไปถึงอดีต ใส่ร้ายคนอื่น แค่ตอบตรงๆ ว่าไม่ทำเพราะบุคคลนี้อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองของตนเท่านั้น วันหนึ่งกฎหมายจะตามไปตรวจสอบเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีคำพูดที่ไม่ตรงกันคือ นายกฯ บอกจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรแทนทหาร ขณะที่ รมว.กลาโหมบอกว่าจะยังไม่มีการถอนทหาร ภาพความไม่เป็นเอกภาพในเชิงนโยบายจะส่งผลเสียอย่างไร นายชวนนท์กล่าวว่า เรื่องนี้มีกลไกการทำงานเดิมอยู่แล้ว หากนายกฯ ไม่ทราบเรื่องอย่าพยายามแสดงความคิดเห็น หรือแสดงภูมิ เพราะจะสร้างความสับสนให้ผู้ปฏิบัติ เหมือนท่าทีในศาลโลก เพราะผู้พิพากษาทุกคนเขาติดตามข่าว โดยดูท่าทีของรัฐบาลทั้งสองฝ่ายตลอด ถ้ามีการพูดจาอะไรออกไปที่เข้าทางอีกฝ่าย เขาจะหยิบไปใช้เป็นพยานในการต่อสู้ ดังนั้นการถอนทหาร หรือไม่ถอนทหารเป็นหน้าที่ของฝ่ายกลาโหมผ่านเวทีเจบีซี หรืออาร์บีซี จะเหมาะสมที่สุด และมีรายงานขึ้นมาตามลำดับชั้น แต่สมเด็จฯ ฮุนเซนพูดชัดว่าเขาจะไม่ถอนกำลังทหาร ไทยก็ต้องยืนยันไม่ถอนกำลังหทารออกจากพื้นที่ที่เป็นของไทยเช่นกัน ไม่ควรไปแสดงท่าทีอ่อนข้อให้กับฝ่ายตรงข้ามในการเจรจา ซึ่งถือเป็นการอ่อนประสบการณ์ในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมากที่สุด
ส่วนที่มีกระข่าวว่าได้มีการถอนกำลังและอาวุธยุถทโธปกรณ์ออกจากพื้นที่แล้ว นายชวนนท์กล่าวว่า กำลังประสานกับผู้ที่ทราบเรื่องนี้อยู่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นการถอนกำลังธรรมดา หรือมีคำสั่งจากรัฐบาล แต่ยืนยันว่าพื้นที่ที่ทหารควบคุมอยู่ทั้งหมเป้นของไทย ความจริงกัมพูชามีหน้าที่ถอนทหารออกไปจากหน้าผาในบริเวณแนวสันปันน้ำตามคำสั่งศาลโลก ส่วนไทยเราอยู่ในพื้นที่ของเราอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไปถอนก่อนในเมื่อกัมพูชายังไม่ดำเนินการ
เมื่อถามว่าพรรคได้ประเมินหรือไม่ว่าหากรัฐบาลชุดนี้อยู่ไปนานๆจะเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ความสำคัญของรัฐบาลชุดนี้อาจเป็นเรื่องทางทะเลมากกว่า เพราะวันก่อนก็มีการเชิญผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจุดเจาะน้ำมันในฝั่งไทย และกัมพูชามาพบกับนายกฯ ทันทีหลังกลับจากกัมพูชาภายในวันเดียว ดังนั้น เป้าหมายหลักคงอยู่ตรงนี้ ส่วนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ต้องย้อนกลับไปดูท่าทีของรัฐบาลในอดีตว่าเขามองอย่างไร ถึงได้มีการไปลงนามแถลงการณ์ร่วมให้มีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ส่วนการบริการในลักษณะปกป้องสิทธิ อธิปไตย และผลประโยชน์ของประชาชน ตนไม่แน่ใจว่าจะมีท่าทีเดียวกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าว่า คำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ยืนยันว่าเป็นนายกฯ ของคนไทย จะปกป้องอธิปไตยเต็มที่เชื่อถือได้หรือไม่ นายชวนนท์กล่าวว่า “คิดว่าประชาชนน่าจะตัดสินได้ โดยเฉพาะที่ตอนกลางวันพูดอย่างกับไมโครโฟน แต่ตอนกลางคืนเป็นนายกฯ ในสังคมออนไลน์ตอบอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามชัดเจน และดูรู้ว่ากลับไปบ้านแล้วนึกออกว่าพูดพลาดออกไปเลยใช้นายกฯ หุ่นยนต์ออกมาแก้ตัวให้ ฉะนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าต่อไปประชาชนจะฟังใครดีระหว่างนายกฯในสังคมออนไลน์กับนายกฯ ในทำเนียบรัฐบาล”
ต่อข้อถามว่า จากท่าทีรัฐบาลที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมเด็จฯ ฮุนเซนมีเป้าหมายเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี หรือมีผลประโยชน์ต่อกัน นายชวนนท์กล่าวว่า การลงทุนพัฒนาระหว่างสองประเทศนั้นสามารถทำได้ แต่ขณะนี้มีท่าทีชัดเจนว่าสมเด็จฯ ฮุนเซนมีความสุขมากกับการได้ต้อนรับคณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และอดีตนายกฯ ทักษิณ ทำให้คนไทยสงสัยว่าไปร่วมมือในการพัฒนาอะไรหรือเปล่า เพราะขณะนี้เป็นคนกุมอำนาจรัฐทั้งสองประเทศ ซึ่งเชื่อว่าชาวกัมพูชาเองก็ควรตั้งคำถามกลับไปเช่นกันว่าทำอะไรกันอยู่ แอบไปเจรจาอะไรหรือไม่ หลักฐานเท็จที่พยายามจะโยนมาให้ฝ่ายตรงข้ามก็ชี้แจงได้ทุกประเด็น จึงเห็นถึงความพยายามบิดเบือน สร้างกระแสเพื่อกลบในสิ่งที่กำลังดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันที่มีทำอย่างเต็มที่ ซึ่งตนย้ำว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ไม่ควรจะแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว คนไทยไม่ควรเสียประโยชน์อะไรเลยกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับสมเด็จฯ ฮุนเซน การคบกันระหว่างสองประเทศอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่สำหรับกัมพูชาเห็นชัดเจนว่าไม่พอใจกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ขัดขวางเรื่องมรดกโลก และผลประโยชน์ทางทะเลกับเขา ขณะที่รัฐบาลชุดนี้พร้อมจะเดินหน้าปฏิบัติตัวตามทุกอย่างที่ถูกใจกัมพูชา ดังนั้น สาเหตุชัดเจนอยู่แล้ว จึงขอให้ประชาชนคนไทยและชาวกัมพูชาช่วยกันจับตาในเรื่องนี้ว่ามีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงระหว่างผู้บริหารสองประเทศหรือไม่
นายชวนนท์ยังกล่าววถึงกรณีที่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. และผู้ต้องหาเสื้อแดงหลายคนที่หนีคดีไปรวมกันอยู่ที่กัมพูชาว่า หากปรากฏชัดเจนว่าคนเหล่านี้ที่มีหมายจับกุมไปโผล่อยู่ที่กัมพูชา และทาง ส.ส. และรัฐมนตรีได้เดินทางไปด้วย ก็ต้องไปดูข้อกฏหมายว่า ถ้ามีการพบปะสังสรรค์กันแล้วจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ตรงนี้ทางฝ่ายกฏหมายของพรรคประชาธิปัตย์จะติดตาม แต่จะรอให้เกิดเหตุการณ์และหลักฐานให้ชัดเจนก่อน