ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า เสถียรภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความมั่นคงเพียงใด เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นทั้งในและนอกสภา
ในสภามีเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงเกินครึ่ง ขณะเดียวกัน เมื่อรวมพรรคร่วมรัฐบาลอีกสามสี่พรรค เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคพลังชล พรรคประชาธิปไตยใหม่ และมหาชน รวมแล้วกว่า 300 เสียง ทำให้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง และยังสามารถคิดการใหญ่ในภายหน้าได้อย่างสะดวก นั่นคือเตรียมเอาไว้รองรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเป้าหมายสูงสุดอีกเรื่องหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้
ขณะที่เสียงสนับสนุนนอกสภาก็มีมวลชนคนเสื้อแดงคอยค้ำจุนเอาไว้อย่างมั่นคง ล่าสุดยังมีการปูนบำเหน็จรางวัลโดยมอบตำแหน่งทางการเมืองให้กับ บรรดา “หัวโจก” ที่รับใช้พรรคเพื่อไทย รับใช้ครอบครัวชินวัตรมาอย่างซื่อสัตย์ก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า หรือแม้ว่าเที่ยวนี้จะอกหัก ก็ให้รอล็อตต่อไปที่จะมีการแต่งตั้งอีกชุดใหญ่ในชุดที่เป็นคณะกรรมการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในอนาคต ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความสำคัญของแต่ละคน
การแต่งตั้งบรรดาหัวโจกเหล่านี้เข้ามา แน่นอนว่ายอมเป็นกำลังใจทำให้ทุ่มเทรับใช้ทั้งพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงการออกมาสนับสนุนปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างเต็มที่ ซึ่งในที่นี้ยังรวมไปถึงการแปรสภาพมวลชนธรรมดาให้กลายเป็น “กองกำลังอาสา” ได้ทุกเมื่อ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี่แหละที่อาจทำหน้าที่ในการปกป้อง รวมไปถึงข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม ไม่ต่างจาก “เรดการ์ด” ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อหลายสิบปีก่อน และที่ผ่านมาก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่แกนนำพรรคฝ่ายค้าน อย่าง ชวน หลีกภัย ประธานสภาทีปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ การรุมทำร้ายสองนักศึกษาที่นำพวงหรีดมาประท้วงประธานสภาผู้แทนราษฎร สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง และล่าสุดที่มีการคุกคามผู้สื่อข่าวสาวของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ที่บังอาจตั้งคำถามต่อ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ จนต้องเดินหนี
เชื่อว่าบรรยากาศแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการระงับยับยั้ง
ขณะเดียวกันยังมีกลไกรัฐที่เป็นหน่วยสนับสนุนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเวลานี้กำลังรุกคืบเข้าไปรื้อ ย้ายกันเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เวลานี้กำลังเดินเกมเพื่อ “ขับไล่” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วดัน “พี่เมีย” ของ ทักษิณ ชินวัตร คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาอย่างเร่งด่วนให้ทันก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
อีกทั้งรับรู้กันอยู่แล้วว่าเมื่อได้ “คนกันเอง” เป็นเครือญาติ มานั่งเก้าอี้สูงสุดในหน่วยงานตำรวจแบบนี้มันก็ย่อมไว้ใจได้ โดยเฉพาะสำคัญที่คาอยู่เป็นหางว่าวมันก็จะไหลลื่น ไร้ปัญหา นอกจากในขั้นตอนต่อไปจะมีการ “จัดแถว” ตำรวจระดับล่างลงมาก็ทำได้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญที่กระทรวงยุติธรรม ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าเป้าหมายหลักจะอยู่ที่ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ปัจจุบัน ธาริต เพ็งดิษฐ์ ดำรงตำแหน่งอยู่ และมีคดี “ก่อการร้าย” และคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ซึ่งมีบรรดา หัวโจกเสื้อแดงทั้งหลาย รวมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีหลายคดี
ทำให้แน่นอนอยู่แล้วว่า ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษนี่แหละที่เป็นอีกเป้าหมายหลักที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไปหลังจากมีการ “จัดการ” ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าจะเกินเดือนกันยายนแน่นอน
ส่วนที่กระทรวงมหาดไทยก็เช่นเดียวกัน เพราะมีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายและฐานมวลชนในต่างจังหวัดให้มั่นคง เชื่อว่าจะต้องมีการโยกย้ายสับเปลี่ยนกันอย่างขนานใหญ่ทั้งในระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและอธิบดีสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการปู้ยี่ปู้ยำมาแล้วในยุคที่พรรคภูมิใจไทยยึดครองหน่วยงานแห่งนี้มานานกว่า 2 ปี มีการโยกย้ายสับเปลี่ยน จนวุ่นวายสับสน พร้อมๆ กับข่าวอื้อฉาวเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี เป้าหมายหลักอีกแห่งที่ “ระบอบทักษิณ” พยายามรุกคืบเข้าไปแทรกแซงก็คือหน่วยงานในกองทัพ แต่ยังทำไม่ได้ทันที เนื่องจากยังติดขัดในเรื่องระเบียบกฏหมาย ทำให้เวลานี้อยู่ในช่วงบรรยากาศประนีประนอม คุมเชิงกันไปก่อน หรือพยายามต่อรองเพียงบางตำแหน่งเท่านั้น
นั่นคือองคาพยพของรัฐบาล ทั้งที่เป็นข้าราชการ มวลชนคนเสื้อแดงที่ประจำอยู่ทุกจุด อีกทั้งยังมีเสียงสนับสนุนในสภา ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลแน่นปึ้ก จนยากที่จะโยกคลอนได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริง และดูจากประวัติศาสตร์การเมืองทั้งในและต่างประเทศย่อมมีบทเรียนที่แตกต่างกันไป และที่สำคัญการที่มีเสียงสนับสนุนมากมายแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นหลักประกันตายตัวให้รัฐบาลอยู่ได้ยาวนาน เพราะปัจจัยที่สำคัญกว่าที่จะส่งผลให้รัฐบาลมีความมั่นคงขึ้นอยู่กับผลงาน ความตั้งใจในการบริหารประเทศเพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่มีการทุจริต ไม่ทำเพื่อพวกพ้อง มีความยุติธรรม และมีธรรมาภิบาล เพราะนี่คือการค้ำจุนที่มั่นคงอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวชี้ขาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ให้เห็นผลในระดับที่น่าพอใจ ทำให้ข้าวของไม่แพง เศรษฐกิจมั่นคง บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย ไม่มีโจรผู้ร้าย ทำให้กฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนมีความเสมอภาคทางกฏหมาย สิ่งเหล่านี้แหละน่าจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่าต่อให้ควบคุมได้ “เบ็ดเสร็จ” มากกว่านี้ แต่การบริหารห่วยแตก เล่นพวก คอรัปชั่นมีแต่ผลประโยชน์ มันก็ไปไม่รอด ไม่เชื่อก็ลองสอบถาม ทักษิณ ชินวัตร ดูก็ได้ เพราะเคยได้รับบทเรียนแบบนี้มาแล้ว ส่วนจะเข็ดหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง!!