ผ่าประเด็นร้อน
ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม ถือเป็นช่วงกำลังเปลี่ยนผ่าน เป็นช่วงปีงบประมาณใหม่ ขณะเดียวกันยังถือว่าเป็นช่วงของฤดูโยกย้ายใหญ่ของข้าราชการไทย และที่สำคัญยังเป็นช่วงทำให้ข้าราชการหลายคนต้องอกสั่นขวัญแขวน ต้องลุ้นกันว่าตัวเองจะมีชะตากรรมอย่างไร
สำหรับปีนี้ยิ่งแล้วกันไปใหญ่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจรัฐใหม่จาก ฝ่ายประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย มาเป็นพรรคเพื่อไทยในสังกัดของ ทักษิณ ชินวัตร มันก็ยิ่งทำให้ต้องลุ้นกันหนักเป็นสองเท่า โดยเฉพาะพวกที่เติบโตมาในยุค “อำนาจเก่า” รับรองว่าคนกลุ่มนี้ต้องหนาวๆร้อนๆแน่นอน เพราะเป็นการรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จอีกครั้ง
หลายคนเชื่อว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะต้องใช้จังหวะในช่วงฤดูโยกย้ายมาสร้างความชอบธรรมในการ “ล้างบาง” ข้าราชการในหน่วยงานสำคัญที่มีผลทั้งในด้านคดีสำคัญ และสร้างฐานมวลชน ที่มีผลทางการเมืองเป็นมือเป็นไม้ในวันหน้า ซึ่งหากจะว่าไปแล้วที่น่าจับตามีหลายหน่วยงาน
ไล่เรียงกันไปตั้งแต่การจัดวางกำลังในกองทัพ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม ที่ต้องเน้นไปที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมไปถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ เช่น ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นต้น หน่วยงานดังกล่าวรับรองว่าตกเป็นเป้าหมายในการโยกย้ายสับเปลี่ยนตัวบุคคลค่อนข้างแน่ เพียงแต่ว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายอย่างไรกับสังคมให้ “เนียน” ที่สุดเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี ถ้าให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ หลายคนคงพอประเมินออกแล้วว่าน่าจะเริ่มต้นจากหน่วยงานที่สามารถใช้ “อำนาจการเมือง” หักโค่นได้ไม่ยาก รวมไปถึงพิจารณาจากความจำเป็นเร่งด่วนเป็นหลักมากกว่า ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จะต้องดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ “พี่เมีย” ของ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาให้เร็วที่สุดเสียก่อน เพราะยังเหลืออายุราชการอีกเพียงแค่ปีเศษเท่านั้น นั่นคือ เขาเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม 2555 นั่นเอง หากพลาดโอกาสในปีนี้ถือว่าไม่มีหลักประกันความชัวร์ในอนาคตได้เลย
ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเมื่อได้อำนาจรัฐก็ได้แจกบำเหน็จรางวัลมอบตำแหน่งทางการเมืองให้กับ “หัวโจก” คนเสื้อแดง “เกรดรอง” ระดับเกรดบี หรือซีไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ที่ปรึกษา เลขานุการ มากันแบบ “เทกระโถน” ยกโหล เพื่อเอาใจรักษามวลชนเอาไว้ในระยะยาว ซึ่งจะทยอยตามกันมาอีกหลายล็อต ทั้งในรูปแบบของบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคน “มีราคา” ระดับใดเท่านั้น
แต่นาทีนี้ขอแยกมาพิจารณาเฉพาะตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กำลังเก้าอี้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดเมื่อได้ยินคำพูดของ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจะชงเรื่องปลด พล.ต.อ.วิเชียร ต่อ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายในสามวัน มันก็ย่อมรับรู้ถึงชะตากรรมล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี
ในคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อวานนี้ (29 สิงหาคม) บอกไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน โดยตามขั้นตอนนายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจโยกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วจะดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พี่ชายของพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา ทักษิณ ชินวัตร มาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่สืบแทน โดยอ้างว่าในยุคของ พล.ต.อ.วิเชียร ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันและอบายมุขเกลื่อนกรุง
ที่ผ่านมาก็มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการ “ทำทาง” เอาไว้ให้ล่วงหน้า จาก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่นำเรื่องบ่อนไปเปิดโปงในสภา เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ปลด พล.ต.อ.วิเชียร นั่นเอง เพราะเมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของบุคคลทั้งสองคือ ร.ต.อ.เฉลิม กับ ชูวิทย์ ที่ก่อนหน้านี้เคยถึงขั้นจะลงสมัครรับเลือกตั้งร่วมกันมาแล้ว
หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็เป็นไปได้ว่า นี่คือภารกิจเร่งด่วนของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ได้รับมอบหมายให้มากำกับดูแลสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติโดยมี “เงื่อนไขพิเศษเร่งด่วน” ก็คือ ต้องผลักดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันความผิดพลาด และ “กระชับอำนาจ” ของรัฐบาล หรือหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับว่าต้อง “ตีเหล็กกำลังร้อน” เท่านั้น ขณะเดียวกันถ้าทำไม่สำเร็จคนที่เดือดร้อนก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม นั่นแหละ
ดังนั้นไม่ว่ามองในมุมไหนก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เมื่อเป็นประกาศิตมาจาก “นายหญิง” ผู้ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดทั้งในพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลรวมไปถึงอยู่เหนือ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยแล้ว มันก็ต้องดันให้สำเร็จให้จงได้ และต้องทำทันที ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีการวางแผน “สร้างเงื่อนไข” กันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้แน่นอน!!