สภาการหนังสือพิมพ์ ออกแถลงการณ์ รับรองรายงานอนุกรรมสอบอีเมลฉาว ย้ำความโปร่งใสและความเป็นอิสระ ระบุ การวินิจฉัยยังไม่ถึงที่สุด ให้โอกาสผู้ประกอบวิชาชีพสื่อที่ถูกกล่าวหายื่นอุทธรณ์ภายใน 20 วัน ก่อนตั้งคณะกรรมการชุดสุดท้ายชี้ขาด
วันนี้ (22 ส.ค.) สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์รับรองรายงานของอนุกรรมการสอบฯ อีเมลฉาว โดยสรุปได้ว่า นายสุนทร จันทร์รังสี รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเพื่อรับทราบรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมลของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน กล่าวถึงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์ที่เป็นองค์กรสมาชิกบางแห่งได้ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของคณะอนุกรรมการดังกล่าวในหลายประเด็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิที่องค์กรสมาชิกสามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงความจริง และภาระหน้าที่ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ไปดำเนินการตามธรรมนูญข้อที่ 20(2)
รายงานการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ได้ผ่านการรับรองของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้ว แต่ผลการวินิจฉัยในเรื่องนี้ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด องค์กรสมาชิกหรือผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวข้องสามารถอุทธรณ์หรือโต้แย้งได้ภายในระยะเวลา 20 วัน นับแต่ได้รับทราบรายงาน ทั้งนี้ ตามธรรมนูญข้อที่ 22 ซึ่งระบุว่า
“หากมีการอุทธรณ์คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะต้องตั้งคณะกรรมการรับอุทธรณ์ขึ้นมาพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่คณะกรรมการรับอุทธรณ์จะรายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติพิจารณาในขั้นสุดท้ายต่อไป” นายสุนทร กล่าว
รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติคนที่ 1 กล่าวอีกว่า การพิจารณาของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่รายงานการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ จะเป็นเพียงรายงานเบื้องต้นประกอบการวินิฉัยในขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถึง 3 คน ส่วนอีก 2 คน ที่เป็นกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ก็เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และมีนางบัญญัติ ทัศนียะเวช สื่อมวลชนอาวุโสและอดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ก็ด้วยเจตนารมณ์ที่จะทำให้การสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปโดยอิสระ ปราศจากข้อคลางแคลงจากสาธารณชนที่เฝ้าจับตามองการทำหน้าที่ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ที่คัดเลือกโดยกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้ว คณะกรรมการสภาฯ เชื่อได้ว่า คณะอนุกรรมการทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว
“การนำเสนอข่าวในทำนองที่ต้องการลดความน่าเชื่อถือของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เนื่องจากทุกท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกที่เสียสละเวลามาทำงานให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เพื่อช่วยขจัดข้อสงสัยทางจริยธรรมที่สังคมกำลังเคลือบแคลงต่อองค์กรสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหา” รองประธานสภาการ นสพ.กล่าวย้ำ
วันนี้ (22 ส.ค.) สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์รับรองรายงานของอนุกรรมการสอบฯ อีเมลฉาว โดยสรุปได้ว่า นายสุนทร จันทร์รังสี รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเพื่อรับทราบรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการส่งอีเมลของนักการเมืองระบุการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน กล่าวถึงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์ที่เป็นองค์กรสมาชิกบางแห่งได้ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของคณะอนุกรรมการดังกล่าวในหลายประเด็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิที่องค์กรสมาชิกสามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงความจริง และภาระหน้าที่ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ไปดำเนินการตามธรรมนูญข้อที่ 20(2)
รายงานการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ได้ผ่านการรับรองของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้ว แต่ผลการวินิจฉัยในเรื่องนี้ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด องค์กรสมาชิกหรือผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวข้องสามารถอุทธรณ์หรือโต้แย้งได้ภายในระยะเวลา 20 วัน นับแต่ได้รับทราบรายงาน ทั้งนี้ ตามธรรมนูญข้อที่ 22 ซึ่งระบุว่า
“หากมีการอุทธรณ์คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะต้องตั้งคณะกรรมการรับอุทธรณ์ขึ้นมาพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่คณะกรรมการรับอุทธรณ์จะรายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติพิจารณาในขั้นสุดท้ายต่อไป” นายสุนทร กล่าว
รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติคนที่ 1 กล่าวอีกว่า การพิจารณาของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่รายงานการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ จะเป็นเพียงรายงานเบื้องต้นประกอบการวินิฉัยในขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถึง 3 คน ส่วนอีก 2 คน ที่เป็นกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ก็เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และมีนางบัญญัติ ทัศนียะเวช สื่อมวลชนอาวุโสและอดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ก็ด้วยเจตนารมณ์ที่จะทำให้การสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปโดยอิสระ ปราศจากข้อคลางแคลงจากสาธารณชนที่เฝ้าจับตามองการทำหน้าที่ของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งเมื่อดูองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ ที่คัดเลือกโดยกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้ว คณะกรรมการสภาฯ เชื่อได้ว่า คณะอนุกรรมการทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว
“การนำเสนอข่าวในทำนองที่ต้องการลดความน่าเชื่อถือของคณะอนุกรรมการเฉพาะเรื่องฯ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เนื่องจากทุกท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกที่เสียสละเวลามาทำงานให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เพื่อช่วยขจัดข้อสงสัยทางจริยธรรมที่สังคมกำลังเคลือบแคลงต่อองค์กรสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่ถูกกล่าวหา” รองประธานสภาการ นสพ.กล่าวย้ำ