ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนคงคาดไม่ถึงว่ารัฐมนตรีบางคนที่อยู่ในสังกัดโดยตรงของ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของรัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะลงมือปฏิบัติภารกิจตาม “ใบสั่ง” ได้เร็วเกินคาด เพราะยังคงเข้าใจว่าน่าจะรอดูสถานการณ์ไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน แล้วถึงค่อยลงมือภายหลัง เพื่อกันแรงกระเพื่อม จนเกิดเสียงโวยวาย อาจทำให้เสียการใหญ่
แต่กลายเป็นว่า ทุกอย่างผิดคาด เพราะเริ่มมีการลงมือในเรื่องที่ “ล่อแหลม” ประดังเข้ามาพร้อมๆ กันหลายเรื่อง
อย่างไรก็ดีผลจากภารกิจ “เร่งด่วน-ลับ-ส่วนตัว” ที่ว่านี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไม ทักษิณ ถึงได้ “เจาะจง” ที่จะแต่งตั้ง “บางคน” เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญ เนื่องจากมีความหมายต่อตัวเอง ไม่ต่างจากการแต่งตั้ง “คนรับใช้” เข้ามาทำงานในบ้านไม่มีผิด เพราะต้องหาคนที่ไว้ใจได้ และที่สำคัญต้องพร้อมที่จะ “รับงาน” โดยไม่เกี่ยงงอน
แน่นอนว่ากรณีการล็อบบี้ทางการญี่ปุ่นจนสามารถผลักดันให้ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานภาพเป็นนักโทษหนีคดีอาญาและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งจำคุก 2 ปี รวมไปถึงมีหมายจับในคดีก่อนการร้าย คดีทุจริตอีกมากหมาย จนได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศในปลายเดือนสิงหาคมนี้
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังควบคู่ไปกับความพยายามในการคืนหนังสือเดินทางทูตหรือ “พาสปอร์ตสีแดง” ที่มีสิทธิพิเศษมากมาย หลังจากก่อนหน้านี้ถูกกระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลที่แล้วสั่งยึดไปหลังจากปลุกระดมมวลชนก่อความวุ่นวายทำให้การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิปบีช พัทยาเมื่อปี 2551 ต้องล่มลง
แต่มาวันนี้เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเป็นพรรคเพื่อไทย มีน้องสาวของนักโทษหลบหนีคดีคือ ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดการเปลี่ยนสถานะใหม่ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า
สำหรับกรณีการล็อบบี้รัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อให้ออกวีซ่าให้ ทักษิณ เข้าประเทศนั้น ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเป็นการเจรจาร้องขอจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จนกระทั่งเป็นไปตามขั้นตอนและนำไปสู่การอนุญาตดังกล่าว โดยมีกำหนดการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ทักษิณ เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 22-28 สิงหาคม ขณะเดียวกันมีความพยายามสื่อให้เห็นว่าการเดินทางไปคราวนี้เป็นเรื่องการกุศลและงานทางวิชาการเป็นส่วนใหญ่ เช่น จะไปเยี่ยมผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เกิดขึ้นรับรู้กันว่า มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เท่านั้นที่เป็นคนเดินเรื่อง “เคลียร์เส้นทาง” อยู่ตลอดเวลา ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับออกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณารวมทั้งประเทศญี่ปุ่น เป็นฝ่ายตัดสินใจ
แต่ความจริงก็มาเปิดเผยจนได้ เมื่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยูคิโอะ เอดาโนะ เปิดเผยว่า กรณีที่รัฐบาลญี่ปุ่นออก “วีซ่าพิเศษ” ให้กับทักษิณ เป็นเพราะหนังสือ “ร้องขอ” จากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเอง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่คำถามก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลไทยหรืออย่างไร
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่มีความเคลื่อนไหวตามมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการยกเลิกการหมายจับของตำรวจสากล แม้ว่าจะมีการอธิบายตามมาว่าไม่เคยมีการออกหมายจับดังกล่าวก็ตาม
ส่วนความพยายามอื่นๆเท่าที่เห็นความเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ก็คือ กำลังเตรียมการสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าฉบับปัจจุบันเป็นผลผลิตของเผด็จการทหาร แต่ความหมายก็คือต้องการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ กับพวกโดยอ้างความปรองดองและความยุติธรรมแบบสองมาตรฐานมาบังหน้า
หรือก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ก่อนมีการผลักดันจนกระทั่งกรมสรรพากร ไม่เก็บภาษีหุ้นของ พานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ลูกชายและลูกสาวของ ทักษิณ จำนวนรวมกันกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท จนเกิดเสียงวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางไปแล้วอีกกรณีหนึ่ง
กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่ากันเฉพาะที่ปรากฏการเคลื่อนไหวออกมาอย่างชัดเจน จนเป็นที่วิจารณ์จากสังคม หรือบางเรื่องก็มีการปิดบังและบิดเบือน แต่เป็นเพราะโลกสื่อสารไร้พรมแดนจึงได้ทราบความจริงอีกด้านหนึ่งออกมา อย่างเช่นกรณีการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นเป็นกรณีพิเศษก็กลายเป็นว่าสื่อของญี่ปุ่นรายงานออกมาให้รับทราบในความหมายที่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทำหนังสือร้องขอออกวีซ่าให้กับ “พี่ชาย” เป็นกรณีพิเศษจนสำเร็จ
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนเพื่อสนองความต้องการเพื่อคนไทยส่วนใหญ่ แต่กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามก็คือสนองความต้องการตามการชักใยของพี่ชาย เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว และหมิ่นเหม่ต่อการ “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” และที่สำคัญเป็นการปฏิบัติภารกิจก่อนที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้เกิดคำถามตามมาว่ามันมีความเหมาะสมแค่ไหน!!