ผ่าประเด็นร้อน
เสียงวิจารณ์จากสังคมรอบข้างยังดังอื้ออึง หลังจากได้เห็นโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อเปิดออกมาแล้วมันไม่สมราคาคุยที่เคยโม้เอาไว้ว่า “หน้าตาดี” เลือกคนที่ถูกกับงาน เพราะเมื่อสำรวจกันอย่างละเอียดแล้วพบว่าออกมาในทางตรงกันข้าม มีลักษณะไม่ต่างจาก “เด็กรับใช้ในบ้าน” รวมไปถึงเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลบางตำแหน่งสำคัญก็เหมือนกับว่าได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลภารกิจบางอย่างไม่มีผิด
เมื่อพิจารณาจากกระทรวงหลักๆที่ถือว่าเป็นเกรดเอ เป็นแหล่งอำนาจและเกื้อหนุนในเรื่องผลประโยชน์ก้อนใหญ่ในยุคนี้ ไม่ว่ากระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่นับหน่วยงานที่เป็นเกรดรองลงมาในยุคปัจจุบัน แต่ก็ทรงอิทธิพล เช่น มหาดไทย ยุติธรรม เป็นต้น
ขณะที่ กระทรวงกลาโหม ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องแตกหักในตอนนี้ก็พักซื้อเวลาไปก่อน โดยส่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เข้าไปดูแลพร้อมประกาศ “ปรองดอง” เอาไว้ล่วงหน้านำร่องไปก่อน
สำหรับกระทรวงเกรดเอในยุคปัจจุบันที่กำลังเป็นที่จับตาของคนทั่วไปโดยพิจารณาจากตัวบุคคลที่เข้ามานั่งกำกับดูแล ทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่าเหมือนถูกสั่งให้เข้ามาทำ “ภารกิจพิเศษ” บางอย่าง ซึ่งนอกจากมีการคัดเลือกหาคนที่ไว้วางใจได้แล้ว ยังต้องเป็นบุคคลที่พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างไม่มีอิดออดอีกด้วย
เริ่มจากกระทรวงการคลัง ที่ส่ง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการถือว่าเคยเป็นมือไม้ รับใช้ใกล้ชิดกับครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยกันมาช้านาน เพราะหากย้อนไปในอดีตเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 เคยทำหน้าที่จัดการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กนับแสนล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว หรือล่าสุดยังได้ออกมาปกป้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีถือหุ้นกองทุนโดยบอกว่าถือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์จึงไม่ต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
แม้แต่กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อครั้งเคยเป็นเลขาธิการตลาดหลักทรัพย์ก็เคยปกป้องลูกๆของทักษิณ ในเรื่องของการถือหุ้นโดยมิชอบ โดยอ้างว่าเป็นการเข้าใจผิดหรือที่ใช้คำว่า “ติ๊กผิด” นั่นแหละ
กระทรวงคมนาคมก็น่าจับตามองจากโครงการขนาดยักษ์ที่กำลังรอการก่อสร้างในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน ฯลฯ ก็ต้องดันคนกันเองอย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรทัต เพื่อ ตท.10 ที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายในกองทัพเข้ามาดูแล
ถัดมาก็เป็นกระทรวงพลังงานที่เมื่อเปิดโผชื่อขึ้นมาทำให้เข้าใจได้ทันทีว่านี่แหละใช่เลยว่าต้องเป็น คนพิเศษที่เลือกมาใช้งานโดยเฉพาะ ทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจพลังงานที่ค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ เพราะหากย้อนกลับไปในอดีตเพื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องตัดสินใจขายหุ้นในเครือชินคอร์ปทั้งหมดให้กับ เทมาเส็ก ก็เนื่องจากมีเป้าหมายเบนเข็มไปลงทุนในธุรกิจพลังงาน ซึ่งในตอนนั้นว่ากันว่ากำลังเจรจาต่อรองกับฝ่าย ฮุนเซ็น กัมพูชา เพื่อร่วมกันสำรวจแหล่งพลังงาน เป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาลในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย แต่บังเอิญว่าเกิดการรัฐประหารเสียก่อน ทำให้สะดุดลงไปบ้าง
อย่างไรก็ดีแม้จะกลับมาสานต่อในยุครัฐบาลนอมินี ทั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมาในยุครัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ก็ถือว่ายังไม่มีบทสรุป เหมือนกับว่ายังมีงานค้างอยู่ ดังนั้นการได้ พิชัย นริพทะพันธุ์ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกมองด้วยสายตาที่น่าสงสัยในเรื่อง “วาระซ่อนเร้น”
แต่ที่ฮือฮาจนออกไปในแนว “ตลกขบขัน” ก็คือการแต่งตั้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านต่างประเทศ ไม่เคยข้องแวะหรือเข้าไปเฉียดกับหน่วยงานเหล่านี้มาก่อน นอกเหนือจากมีประวัติดีเด่นในเรื่องของการปกป้องและเชิดชู ทักษิณ ชินวัตรทุกครั้งที่มีโอกาสทั้งในและนอกสภาเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลดังกล่าวมาทั้งหมด เน้นเฉพาะกระทรวงหลักที่เต็มไปด้วยอำนาจและแหล่งผลประโยชน์ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการดูแลอำนวยสะดวกและสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นบุคคลสำคัญในต่างประเทศก็ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น
หากพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมดทำให้มองออกได้ทันทีว่าการฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดนี้มีลักษณะไม่ต่างจากอำพรางผลประโยชน์ก้อนใหญ่ในกระทรวงสำคัญดังกล่าว ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นการสร้างภาพปรองดอง เช่นประกาศไม่แตะต้องผู้นำกองทัพ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณไปถึงผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง เพื่อป้องกันแรงกระเพื่อม ขณะเดียวกันไม่เอาพวก “สายล่อฟ้า” ที่เป็นจุดเด่นอย่างพวก “หัวโจก” เสื้อแดงเข้ามาชั่วคราว
ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามทำให้ “เนียน” แค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อตรวจสอบที่มาที่ไปอย่างเข้าใจแล้วจะมองออกได้ไม่ยากว่านี่คือ คณะรัฐมนตรี “เพื่อทักษิณ” หรือเพื่อปวงชนอย่างแท้จริง และเชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะเห็นร่องรอยได้ชัดเจนขึ้น !!