ผ่าประเด็นร้อน
หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งจากการเปิดเผย ของว่าที่นายกฯ ได้บอกว่าขณะนี้ (เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม) มีความคืบหน้าไปมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว และภายใน 1-2 วัน โดยคาดว่าน่าจะเป็นวันอังคารที่ 9 สิงหาคมก็จะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้
ทั้งนี้เธอยังเปิดเผยอีกว่า ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ดังกล่าวจะมีคนนอก 4 คน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เป็นการเปิดเผยความคืบหน้าในเรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุด
อย่างไรก็ดี ในการเปิดเผยดังกล่าวของยิ่งลักษณ์ ยังได้เปิดเผยให้เห็นถึงร่องรอยบางอย่าง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีคนนอกหลายคนที่ตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่าถูกทาบทามให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงหลักทางด้านเศรษฐกิจ ที่ต่างทยอย “ถอนตัว” กันเป็นทิวแถว เช่น กระทรวงการคลัง เคยมีข่าว วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ มานั่งเก้าอี้สำคัญนี้พร้อมกับควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจด้วย
หรือรายของ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการกลุ่มน้ำตาลมิตรผล ก็มีข่าวว่าจะมานั่งเก้าอี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวมถึง ชญานินทร์ เทพาคำ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในยุค ยงยุทธ ติยะไพรัช ก็จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นต้น
สำหรับรายหลังสุดนี่ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะหากพิจารณาตามประวัติครอบครัวแล้ว เหมือนกับว่าเจ้าของพรรคเพื่อไทยจะมีวัตถุประสงค์ “ซ่อนนัย” บางอย่างเหมือนกัน เมื่อทราบว่า ชญานินทร์ เป็นบุตรชายของ พล.ท.อัศวิน และท่านผู้หญิงสุวรี เทพาคำ อดีตนางสนองพระโอษฐ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แต่ในที่สุดคนเหล่านี้ต่างก็ทยอยถอนตัวออกไป
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครสนใจตำแหน่งเกียรติยศ และอำนาจ ซึ่งหลายคนต่างก็แย่งชิงจะเข้ามา แต่ตรงกันข้ามกลับเมินหน้าหนี
แม้ว่าบุคคลดังกล่าวจะไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ที่ถอนตัวไป แต่เมื่อพิจารณาจากบุคลิกส่วนตัวและการดำรงตำแหน่งและความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วมันก็พอมองออกได้เหมือนกัน
เมื่อพิจารณาแบ็กกราวนด์ของ วิชิต และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ถือว่าเป็นมีความสำเร็จและถือเกียรติ ถือตัวสูงยิ่ง ซึ่งความหมายออกไปในทาง “อีโก้” นั่นแหละ คนเหล่านี้ย่อมมีความเป็นตัวของตัวเองสูง จะมาชี้นิ้วสั่งการทุกเรื่องมันก็ลำบาก ซึ่งล่าสุดมันก็มีรายงานข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยเข้ามาจุ้น เข้ามาจัดวางทีมงานให้เสร็จสรรพ ทำให้รับสัญญาณว่าต้องเป็น “หุ่นเชิด” ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น
ที่สำคัญ ล่าสุดเพิ่งมีการยอมรับจากปากของ ยิ่งลักษณ์ เองว่า “มีบางคนมีความเห็นไม่ตรงกับพรรค” ซึ่งประเด็นนี่แหละที่เป็นคำอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องถอนตัวจากไป ทั้งที่มีการทาบทามเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ต้น
สำหรับคำว่าความเห็นไม่ตรงกับพรรคนั้นก่อนหน้านี้มีหลายคนได้วิเคราะห์เอาไว้แล้วว่า เป็นเพราะนโยบายประชานิยมชุดใหม่ของพรรคเพื่อไทยที่สัญญาเอาไว้ระหว่างการหาเสียง ซึ่งคราวนี้ถือว่าเป็นแบบ “จัดหนัก” ที่สุด เพื่อหวังเป้าหมายเฉพาะหน้านั่นคือชนะการเลือกตั้งกลับมายึดอำนาจรัฐกลับมาเป็นของ “ครอบครัวชินวัตร” อีกรอบ แต่ปัญหาก็คือในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยาก โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในแวดวง นายธนาคาร เจ้าของธุรกิจรายใหญ่อย่างกลุ่มน้ำตาลมิตรผล คนพวกนี้ย่อมรู้ดีว่าจะเกิดปัญหาในอนาคตอย่างไร
เชื่อว่าคนอย่าง วิชิต ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และ อิสระ ย่อมรู้ดีว่า นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ จบปริญญาตรีได้เงินเดือน 15,000 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพเป็นเดือนละ 1,000 บาท เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน ซื้อแทบเล็ตให้เด็กนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ การควบคุมราคาสินค้าให้ราคาข้าวของถูกลง เป็นต้น นโยบายเหล่านี้ต้องเพิ่มภาระต้นทุน ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ในท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลกระลอกใหม่กำลังก่อตัว คนพวกนี้ย่อมมองออกและคงไม่เข้ามาร่วมเสี่ยงเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศการเมืองที่เต็มไปด้วยคนรู้ทัน และคอยจับจ้อง จับผิดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ อยู่ในสถานะเดิมย่อมจะดีกว่าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเปลืองตัว มาเป็นหุ่นเชิดรับคำสั่งจากคนในครอบครัวชินวัตร
คนเหล่านี้ย่อมมองออกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อีกทั้งคงไม่มั่นใจในโชเฟอร์ที่เป็น “มือใหม่หัดขับ” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกด้วย มันก็ยิ่งเสี่ยง ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้อง “ชิงโดดลง” ตั้งแต่ไม่ทันออกรถ เพื่อเซฟตัวเองเอาไว้ก่อน!!