แม้นาทีนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ผ่านการโหวตในสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ด้วยเสียงท่วมท้น แบบไร้คู่แข่งไปเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามการจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการได้นั้นยังต้องรอขั้นตอนสำคัญอีกสองสามขั้นตอน
แต่ประเด็นที่สังคมกำลังจับตาและรอคอยก็คือ เธอจะสามารถทำหน้าที่ในฐานะผู้บริหารประเทศได้ดีเพียงใด และให้สมกับความคาดหวังของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้แค่ไหน
ที่สำคัญสิ่งที่ต้องกำลังรอพิสูจน์ให้เห็นเป็นด่านแรกก็คือ เธอ มีอำนาจในการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของเธอเองหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่ “นายกฯหญิงตัวปลอม” ขณะที่คนที่มีอำนาจ “บงการ” อยู่ข้างหลังกลับเป็นอีกคนหนึ่ง
ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ ยิ่งลักษณ์ ตัดสินใจทิ้งธุรกิจหันมาลงสนามการเมืองและใช้เวลาเพียงแค่ 40 กว่าวันเท่านั้นก็ประสบความสำเร็จอันน่าทึ่งนั่นคือ สามารถนำพาพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะกระแสบิดเบือนจาก “นโยบายประชานิยม” ที่เกทับบลั๊พแหลก เหนือพรรคอื่น ประกอบกับความไม่เอาไหนของรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นข้อเปรียบเทียบทำให้เป็นแรงส่งให้พุ่งแรงขึ้นไปอีก แต่นับจากนี้ไปเธอจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า “เธอนั้นเป็นของจริง”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่บั่นทอนความเชื่อมั่นดังกล่าวให้ลดลงก็มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ข่าวการวิ่งเต้นขอตำแหน่งรัฐมนตรีที่ดูไบ กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชาย รวมไปถึงระยะหลังมีข่าวว่าคนที่มีอำนาจในการจัดโผคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์กลับเป็น พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ นั่นเอง ทั้งที่เธอก็ยืนยันอย่างหนักแน่นอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง หรืออย่างมากก็มีการปรึกษาหารือกันภายในคณะกรรมการบริหารของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
แม้กระทั่งมีรายงานข่าวถึงโผคณะรัฐมนตรีล่าสุด ก็ยังมีการระบุว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย โดยเฉพาะรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญที่เป็นหัวใจของรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ตามข่าวบอกว่า จะเป็น ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) เพื่อเตรียมนั่งเก้าอี้สำคัญนี้ ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่แนวโน้มสูงว่าจะเป็น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา หรือแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญอื่นๆก็ล้วนต้องชี้นิ้วสั่งการมาจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องผ่านตา พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ เสียก่อน จนถูกระบุว่านี่แหละคือนายกฯหญิงตัวจริง
อย่างไรก็ดีมันก็ช่วยไม่ได้ที่สายตาของชาวบ้านที่ติดตามการเมืองจะเข้าใจความหมายแบบนั้น เพราะด้วยชื่อชั้นและประสบการณ์ทางการเมืองเพียงแค่ 40 วันเศษแต่กลับประสบความสำเร็จจนได้เป็นนายกรัฐมนตรี มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องถูกมองด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากยังเห็นว่า “อ่อนหัด” เป็นมือใหม่ทางการเมืองเท่านั้น
แต่นับจากนี้ไปมันก็ถึงเวลาที่จะต้องมีการพิสูจน์กันอย่างจริงจังเสียที เพราะป่วยการที่จะตั้งคำถามและการยืนยันหรือตอบปฏิเสธ เนื่องจากมีทางเดียวก็คือในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องมีวิธีบริหารจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายออกมาให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้สัญญาเอาไว้กับชาวบ้านเอาไว้ เพราะถ้าทำได้ตามเป้าหมาย ทำให้ประชาชนมีความสุขอย่างทั่วหน้า มันก็ยิ่งจะเป็นการเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเธอมากขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงกันข้าม พิสูจน์ได้ว่าเป็นเพียงแค่ “หุ่นเชิด” หรือ “ตัวปลอม” หรือแม้แต่การเข้ามาเพื่อประโยชน์ของครอบครัวเมื่อไหร่ ก็น่าจะรู้ดีว่าบั้นปลายจะเป็นอย่างไร
เชื่อว่านี่คือโอกาสที่ประชาชนมอบให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยความหวังให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดี หวังจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยหน้าใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้สูง แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเธอเองว่าจะเลือกแนวทางแบบไหน เพราะเชื่อว่านับจากนี้สายตาทุกคู่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูล้วนจับจ้องมาที่นี่เป็นจุดเดียว
ดังนั้นเชื่อว่าการจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงตัวจริงหรือตัวปลอม นั้นดูได้ไม่ยาก เพราะอีกไม่นานมันก็จะปรากฏด้วยตัวของมันเองจากผลงานที่จะต้องออกมา อีกทั้งด้วยบุคลิกการตอบคำถามจะต้องชี้แจงได้ชัดเจน ไม่ใช่ประเภทอ้ำๆอึ้งๆ หรือเลี่ยงไปเลี่ยงมาเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะเมื่อถึงเวลาเผชิญหน้ากับความจริงมันก็ต้องพร้อมรับทุกสถานการณ์ !!