“อดีตโทรโข่งมาร์ค” แนะลด กมธ.เหลือ 30 คณะ หวังประหยัดงบฯ แถมบางคณะยังซ้ำซ้อนกัน วอนอย่าเพิ่มเพื่อปลอบใจพวกแห้ว รมต. โต้ “เมียเหวงเหวง” ยันปล่อยแดงนอนคุกกับปรองดองคนละเรื่อง เตือนอย่าแทรกแซงศาล ถามถ้านักโทษอื่นอ้างบ้างจะเป็นยังไง แนะ “ปู” กำหนดท่าทีให้ชัด เย้ย “น้องแม้ว” รอแค่แฟกซ์โผ ครม.จากดูไบ แขวะ ส.ส.พท.แค่ พนง.บ.ชินฯ สวนกลับรัฐใหม่ “โคตรกู้” ยิ่งกว่า “มาร์ค”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นาย เทพไท ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (4 ส.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้ทนราษฎร คนที่ 1 นัดประชุม ส.ส.เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการประจำสภาผู้แทนราษฎรว่า สภาชุดที่ผ่านมามีคณะกรรมาธิการจำนวน 35 คณะ อยากให้พิจารณาลดจำนวนคณะลงเหลือ 30 คณะก็พอ เพราะหากมีคณะกรรมาธิการมากเกินทำให้มีผลเสียต่องบประมาณที่ต้องเพิ่มขึ้นคณะละไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยหากลดจำนวนคณะกรรมาธิการลงก็จะลดงบประมาณในส่วนนี้ ประหยัดเจ้าหน้าที่ประจำคณะ และแก้ปัญหาห้องประชุมที่ต้องแย่งกัน ทั้งนี้ หากมีคณะกรรมาธิการมากเกินทำให้ ส.ส.แต่ละคนต้องควบคนละ 2 คณะ ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ และเห็นได้ว่ามีบางคณะที่ทำงานซ้ำซ้อนกัน เช่น คณะกรรมธิการการทหาร คณะกรรมาธิการกิจการชายแดน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ และคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ทำให้เจ้าหน้าที่ที่มาชี้แจงเกิดความสับสน
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ดังนั้นขอเรียกร้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะพรรคแกนนำไม่อยากให้เพิ่มคณะกรรมาธิการเพื่อปลอบใจคนที่พลาดหวังจากตำแหน่งรัฐมนตรี เหมือนกับสภาชุดที่ผ่านมา ที่เพิ่มคณะกรรมาธิการมาเพื่อหวังเอาตำแหน่งประธานเพียงอย่างเดียวทั้งที่ภาระกิจของหลายคณะซ้ำซ้อนกัน และบางคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นมามีสถานะเพียงกรรมาธิการวิสามัญเท่านั้น เช่น คณะกรรมาธิการแก้ไขหนี้สินแห่งชาติ คณะกรรมาธิการราคาพืชผลการเกษตร ดังนั้นขอให้ใช้หลักในการตั้งคณะกรรมาธิการว่าควรตรงกับกระทรวงที่มีอยู่ในรัฐบาลจะดีกว่า
ส่วนกรณีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ ปล่อยคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกอยู่ทั่วประเทศ โดยอ้างเหตุผลถึงการปรองดองนั้น นายเทพไทกล่าวว่า การปรองดองกับการปล่อยคนเสื้อแดงเป็นคนละเรื่องกัน เพราะการพิจารณาปล่อยตัวผู้กระทำความผิดอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการที่ฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นฝ่ายบริหารไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทั้งนี้ หากมีการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวโดยใช้มวลชนมากดดันจริงจะถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และหวังผลทางการเมืองไม่ต่างจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
“อยากตั้งคำถามถึงคนเสื้อแดงว่า ที่ระบุให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังโดยอ้างถึงความปรองดองแล้วนั้น หากนักโทษที่ถูกคุมขังเรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อความปรองดองบ้างจะทำอย่างไร และถ้าเกิดสถานการณ์เช่นนั้นจริง กระบวนการยุติธรรมของประเทศจะเป็นเช่นไรต่อจากนี้ นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำรัฐบาล ต้องกำหนดท่าทีระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม นปช.ให้ชัด เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความสับสนว่าสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นอย่างไรแน่” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไทยังกล่าวกรณีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุใกล้จะแล้วเสร็จว่า รายชื่อที่ปรากฏเป็นความเคลื่อนไหวอยู่ในหน้าสื่อขณะนี้เป็นเพียงกระแส เพราะเชื่อว่าบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีจริงๆ อยู่ในใจบุคคลที่อยู่ดูไบ ในฐานะเป็นผู้จัดโผ ครม.ตัวจริงแล้ว โดยขณะนี้หน้าที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รอเพียงแต่การส่งแฟกซ์ทางไกลมาจากดูไบ จากนั้นคงจะนำขึ้นทูลเกล้าถวายฯ ทั้งนี้ ปรากฏการณ์การตั้ง ครม.พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีการห้อมล้อมคนในตระกูลชินวัตรอยู่ในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการจัดการของคนตระกูลชินวัตรภายในพรรคเพื่อไทย เป็นบริษัทชินวัตรที่เปรียบ ส.ส.ซึ่งมีอยู่จำนวนกว่า 200-300 คนนั้นเป็นเพียงพนักงานบริษัทเท่านั้น
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีแนวคิดกู้เงินจำนวน 8 แสนล้านบาท พร้อมปรับเพดานขาดดุลประจำปีเพิ่มขึ้นว่า อยากให้พรรคเพื่อไทยกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองพูด เพราะเคยโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าดีแต่กู้ แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ได้แถลงนโยบายหรือถวายสัตย์ปฏิญาณตน แต่กลับมาแสดงความต้องการที่จะกู้เงินถึง 8 แสนล้านบาทเสียแล้ว เช่นนี้ต้องเรียกว่ารัฐบาล “โคตรกู้” ไม่ต่างจากรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบริหารประเทศและได้รับฉายาว่า “โคตรโกง”
นายเทพไทกล่าวว่า ส่วนข้ออ้างที่ว่าต้องการกู้เงินเพื่อนำมาใช้กับนบายต่างๆ ที่ได้หาเสียงในจำนวนมากนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์แต่ต้นในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งแล้ว แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องบอกว่ามีความสามารถจะกระทำได้ เพราะเงินอยู่ในอากาศ แต่ตอบไม่ได้ว่าเอามาจากไหน วันนี้ชัดเจนแล้วว่าเงินในอากาศที่ว่าคือเงินกู้ ดังนั้น ต่อไปใครกู้เงินได้ก็สามารถออกนโยบายหาเสียงขอคะแนนได้ แต่สุดท้ายปัญหากลับอยู่ที่ประเทศและประชาชน