ผ่าประเด็นร้อน
หลังจากที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะภาคการเมืองเฝ้ารอมาแรมดือน ลุ้นการรับรองสถานภาพ ส.ส.จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ หรือ 475 คน ในที่สุด กกต.ก็ทำการรับรองจนครบตามเกณฑ์
เดินหน้าเปิดประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนเลือกนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรี พร้อมแถลงนโยบายลงมือเดินหน้าทำงานให้ประชาชนเสียที
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว วันที่ 2 สิงหาคมจะมีการลงมติเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เลือกกันทันทีทันใด เพราะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” รอช้าไม่ได้แล้ว หลังจากค้างเติ่งมานานท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน
ต้องการให้มีรัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาให้โดยเร็วที่สุด
ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้รอช้า คิดเร็วทำเร็วในเรื่องเหล่านี้ เรื่องใดๆ ที่อยู่บนพื้นฐานอำนาจการตัดสินใจของตัวเอง ก็ทำแบบด่วนพิเศษ เป็นเพราะว่าประชาชนไม่ต้องการเห็นลีลา “กรมเจ้าท่า” ยื่นโนติสมาให้ทำแบบวันสต็อปเซอร์วิส ดังนั้นจึงเห็นว่าเพื่อไทยรีบจับมือพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลขณะที่ผลเลือกตั้งยังนับไม่ทันเสร็จ คล้อยหลังเลือกตั้งเพียงวันเดียวก็ได้ตัวพรรคร่วมรัฐบาลครบทีม
ขณะที่การเลือกประธานสภา เลือกนายกฯ เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีอาการ “ยึกยัก” ไว้แน่นอน เพราะหากทำอะไรชักช้ามีหวังโดนกระแสสังคมถล่มเละเทะแน่
เหนืออื่นใดเลยสำหรับตำแหน่งประธานสภา นับเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นตำแหน่งที่ได้รับเกียรติระดับสูงสุด เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ที่ประกอบไปด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประธานสภาคือประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจเด็ดขาดในการอนุมัติเรื่องกฎบัตร กฎหมายต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารบ้านเมือง
แน่นอนว่า ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคจัดตั้งรัฐบาล การพิจารณาเลือกเฟ้นคนมาทำหน้าที่นี้จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ข้อแรกก่อนที่จะทำในข้อถัดๆ ไป
ในอดีตที่ผ่านมา การทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานสภาของแทบทุกท่านล้วนทำได้อย่างสมเกียรติ มีจิตสำนึกในตำแหน่งหน้าที่อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมทั้งสิ้น ไม่ต้องอื่นไกล ประธานสภาคนล่าสุด นาย ชัย ชิดชอบ บิดานาย เนวิน ชิดชอบแกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกเสียงเย้ยหยันถากถางจากทั่วสารทิศ ถึงการเดินเกมการเมืองด้านมืด “ประธานชัย” กลับทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้สังขารจะโรยรา ชราภาพจนวันนี้ ชัย ชิดชอบ รั้งเครดิตเป็น ส.ส.อาวุโสสูงสุดในสภา
แม้จะถูกตั้งข้อสังเกต ข้อสงสัยหลายอย่าง แต่นายชัย ชิดชอบ ได้แสดงให้เห็นถึงการทำหน้าที่ที่น่าชื่นชม แม้จะอายุมากแล้ว แต่การประชุมนัดสำคัญไม่เคยขาด ไม่เคยบกพร่อง อดหลับอดนอนก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง อภิปรายไม่ไว้วางใจจะดึกดื่นหนักหนาเพียงใด “ปู่ชัย” คุมเกมรับมือได้หมด จนทุกคนต้องยอมซูฮก
มาตรฐานหลายอย่างที่ประธานสภาคนเก่าๆ เคยทำไว้เป็นสิ่งซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องนำไปพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมานั่งในตำแหน่งนี้ ไม่ใช่คิดในมุมมองที่ว่าใครเสนอตัวมา ใครพร้อม ก็เอาคนนั้น โดยไม่คิดถึงการทำหน้าที่จริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คนที่แก่งแย่งกันต้องสังวรไว้ว่า มันไม่ใช่ตำแหน่งที่จะเอาไปเพียงประดับเกียรติยศให้ตนเองและวงศ์ตระกูล
วันนี้ รัฐสภาไทยในสายตาของประชาชนมันตกต่ำลงไปมาก สภาอันทรงเกียรติเหลือเพียงแต่ชื่อให้กล่าวอ้าง หลายคนมองด้วยหางตาพร้อมเย้ยหยันด้วยว่านี่หรือ “สภาไทย” เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นจนชินตาคือการด่าทอ ห้ำหั่นเอาชนะคะคาน บางครั้งถึงขั้นหลุดคำผรุสวาทออกมาเป็นวรรคเป็นเวร ไร้ซึ่งการเจรจาซักค้านกันด้วยเหตุด้วยผล
นอกจากนั้นยังพบเห็นแต่การเล่นเกมการเมือง เอาชนะคะคานกันด้วยเทคนิค ไม่สนผลประโยชน์ของประเทศชาติ และชาวบ้านที่เลือกตัวเองเข้ามา ผู้แทนทั้งหลายก็ขี้เกียจสันหลังยาวโดดประชุมกันเป็นว่าเล่น
เหล่านี้เป็นการบ้านที่ประธานสภาคนใหม่จะต้องเข้ามาลบล้างจุดด่างดำ ซักฟอกคราบสกปรก ให้สภาดูดีขึ้น จำเป็นต้องได้คนที่มีภาพลักษณ์ดี น่าเชื่อถือ และพร้อมจะทำหน้าที่จริงๆ
มิฉะนั้น ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่หลายฝ่ายถวิลหาจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย และเมื่อในระบบป้อแป้แล้ว การเมืองนอกระบบ การเมืองที่ไร้ระเบียบหลักเกณฑ์จะมีพลังขึ้นมาทันที เหตุการณ์มันก็อาจจะซ้ำรอยเหมือนเก่าก่อนอีกครั้ง
วันนี้ หากไล่เรียงรายชื่อแคนดิเดตประธานสภาในพรรคเพื่อไทยแล้ว เหลือเพียง 3 รายชื่อ คือ “วิทยา บุรณศิริ”ส.ส.พระนครศรีอยุธยา อดีตประธานวิปฝ่ายค้าน รายนี้ดูจะมีภาษีน้อยที่สุด เนื่องจากชื่อชั้นบารมี “ยังไม่ถึง” ได้เรียนรู้งานสภาก็ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านเท่านั้น บทบาทที่ผ่านมาก็ไม่โดดเด่นอะไรนัก ดูพื้นๆ เหมือนทำงานประจำ ไม่มีอาการทะลุทะลวง มุ่งมั่นเท่าที่ควร จึงทำให้การทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาไม่โดดเด่นเร้าใจ เป็นเพียงฝ่ายค้านมือสมัครเล่นแค่นั้น
อีกคนหนึ่งคือ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ส.ส.ขอนแก่น อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ซึ่งเคยโชว์ฝีไม้ลายมือเป็นที่จดจำด้วยเอกลักษณ์ประจำตัวด้วยการถือค้อนขึ้นมาในระหว่างทำหน้าที่การประชุมสภา จนเป็นที่มาของฉายา “ขุนค้อน” เป็นตัวเก็งเต็งจ๋าคนในพรรคกล่าวขวัญถึงมากที่สุดชั่วโมงนี้ ด้วยสเปกที่เคยผ่านงานสภา และได้รับสัญญาใจลับๆ จาก “นายใหญ่” นช.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าจะให้ตำแหน่งแห่งที่อีกครั้ง จึงทำให้ดูดีมีภาษีกว่าใคร
คนสุดท้ายคือ ท่านรองโรมานอฟ “พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย” อดีตรองประธานสภาสดๆ ร้อนๆ ผู้ซึ่งมีจุดยืนและจิตใจฝักใฝ่เสื้อแดง ว่างจากการประชุมสภาเมื่อไรมักจะเห็นไปขึ้นเวทีเสื้อแดงปลุกเร้าด้วยสไตล์ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนเป็นคนละคนกับตอนทำหน้าที่ในสภาทุกครั้งไป
คนนี้ได้รับแรงเชียร์จากคนเสื้อแดงสุดลิ่มทิ่มประตู ถึงขนาดขนคนมากกดดัน “ยิ่งลักษณ์” ถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย แต่การทำหน้าที่ในสภาที่ผ่านมาถือว่า สอบผ่านได้เกรดขั้นดี มีลำหักลำโค่นจัดการกับสมาชิกสภาได้ดี
วันนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต้องต่อกรกับฝ่ายค้านมืออาชีพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่จ้องถล่มแหลกด้วยปมร้อนๆ ว่าด้วยคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นส.ส. เข้ามายึดครองสภาเป็นส.ส.จำนวนมาก ภาพของการต่อสู้เข้มข้นดุเดือดจากนอกสภาต้องเดินเข้าสู่สภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่าการควบคุม วางเกมในสภาในอนาคตข้างหน้านี้จะเป็นอย่างไร หากได้ “อภิวันท์”เป็นประธานสภาคอยห้ามมวยสมกับหน้าที่ที่เคยทำไว้แล้ว ประกอบกับการที่คนเสื้อแดง แกนนำเสื้อแดงให้ความเคารพเกรงใจ
ชื่อของ “อภิวันท์ วิริยะชัย” จึงดูโดดเด่นขึ้นมามากกว่าแคนดิเดตคนใดๆ
แต่ทว่า “อภิวันท์” เองก็รู้ดีว่าตัวเองมีจุดอ่อนสำคัญ ในฐานะที่เคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงปราศรัยกระทบชิ่งไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงทำให้ที่สุดแล้วต้องประกาศ “ถอนตัว” จากแคนดิเดตออกไปอย่างเสียไม่ได้ รวมทั้งไม่ยอมรับตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติใดๆด้วย คงเพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็น “ปมอันตราย” ภายในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องใหญ่อย่าง การร่วมเข้างานรัฐพิธีใดๆ ที่ “อภิวันท์” จะต้องไปเผชิญหน้ากับ “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม้เบื่อไม้เมาในฐานะที่คนเสื้อแดงยกให้เป็น “มือที่มองไม่เห็น” หรือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”!!!
ทั้งสองเป็นคนต่างสีและมีความแค้นฝังลึกกันมา...จะปรองดองมายืนในแถวเดียวกันได้อย่างไร?
หลังจากที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะภาคการเมืองเฝ้ารอมาแรมดือน ลุ้นการรับรองสถานภาพ ส.ส.จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ หรือ 475 คน ในที่สุด กกต.ก็ทำการรับรองจนครบตามเกณฑ์
เดินหน้าเปิดประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนเลือกนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรี พร้อมแถลงนโยบายลงมือเดินหน้าทำงานให้ประชาชนเสียที
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว วันที่ 2 สิงหาคมจะมีการลงมติเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เลือกกันทันทีทันใด เพราะ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” รอช้าไม่ได้แล้ว หลังจากค้างเติ่งมานานท่ามกลางความคาดหวังของประชาชน
ต้องการให้มีรัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาให้โดยเร็วที่สุด
ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้รอช้า คิดเร็วทำเร็วในเรื่องเหล่านี้ เรื่องใดๆ ที่อยู่บนพื้นฐานอำนาจการตัดสินใจของตัวเอง ก็ทำแบบด่วนพิเศษ เป็นเพราะว่าประชาชนไม่ต้องการเห็นลีลา “กรมเจ้าท่า” ยื่นโนติสมาให้ทำแบบวันสต็อปเซอร์วิส ดังนั้นจึงเห็นว่าเพื่อไทยรีบจับมือพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลขณะที่ผลเลือกตั้งยังนับไม่ทันเสร็จ คล้อยหลังเลือกตั้งเพียงวันเดียวก็ได้ตัวพรรคร่วมรัฐบาลครบทีม
ขณะที่การเลือกประธานสภา เลือกนายกฯ เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีอาการ “ยึกยัก” ไว้แน่นอน เพราะหากทำอะไรชักช้ามีหวังโดนกระแสสังคมถล่มเละเทะแน่
เหนืออื่นใดเลยสำหรับตำแหน่งประธานสภา นับเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นตำแหน่งที่ได้รับเกียรติระดับสูงสุด เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ที่ประกอบไปด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประธานสภาคือประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจเด็ดขาดในการอนุมัติเรื่องกฎบัตร กฎหมายต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารบ้านเมือง
แน่นอนว่า ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคจัดตั้งรัฐบาล การพิจารณาเลือกเฟ้นคนมาทำหน้าที่นี้จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ข้อแรกก่อนที่จะทำในข้อถัดๆ ไป
ในอดีตที่ผ่านมา การทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานสภาของแทบทุกท่านล้วนทำได้อย่างสมเกียรติ มีจิตสำนึกในตำแหน่งหน้าที่อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมทั้งสิ้น ไม่ต้องอื่นไกล ประธานสภาคนล่าสุด นาย ชัย ชิดชอบ บิดานาย เนวิน ชิดชอบแกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกเสียงเย้ยหยันถากถางจากทั่วสารทิศ ถึงการเดินเกมการเมืองด้านมืด “ประธานชัย” กลับทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้สังขารจะโรยรา ชราภาพจนวันนี้ ชัย ชิดชอบ รั้งเครดิตเป็น ส.ส.อาวุโสสูงสุดในสภา
แม้จะถูกตั้งข้อสังเกต ข้อสงสัยหลายอย่าง แต่นายชัย ชิดชอบ ได้แสดงให้เห็นถึงการทำหน้าที่ที่น่าชื่นชม แม้จะอายุมากแล้ว แต่การประชุมนัดสำคัญไม่เคยขาด ไม่เคยบกพร่อง อดหลับอดนอนก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง อภิปรายไม่ไว้วางใจจะดึกดื่นหนักหนาเพียงใด “ปู่ชัย” คุมเกมรับมือได้หมด จนทุกคนต้องยอมซูฮก
มาตรฐานหลายอย่างที่ประธานสภาคนเก่าๆ เคยทำไว้เป็นสิ่งซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องนำไปพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมานั่งในตำแหน่งนี้ ไม่ใช่คิดในมุมมองที่ว่าใครเสนอตัวมา ใครพร้อม ก็เอาคนนั้น โดยไม่คิดถึงการทำหน้าที่จริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คนที่แก่งแย่งกันต้องสังวรไว้ว่า มันไม่ใช่ตำแหน่งที่จะเอาไปเพียงประดับเกียรติยศให้ตนเองและวงศ์ตระกูล
วันนี้ รัฐสภาไทยในสายตาของประชาชนมันตกต่ำลงไปมาก สภาอันทรงเกียรติเหลือเพียงแต่ชื่อให้กล่าวอ้าง หลายคนมองด้วยหางตาพร้อมเย้ยหยันด้วยว่านี่หรือ “สภาไทย” เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นจนชินตาคือการด่าทอ ห้ำหั่นเอาชนะคะคาน บางครั้งถึงขั้นหลุดคำผรุสวาทออกมาเป็นวรรคเป็นเวร ไร้ซึ่งการเจรจาซักค้านกันด้วยเหตุด้วยผล
นอกจากนั้นยังพบเห็นแต่การเล่นเกมการเมือง เอาชนะคะคานกันด้วยเทคนิค ไม่สนผลประโยชน์ของประเทศชาติ และชาวบ้านที่เลือกตัวเองเข้ามา ผู้แทนทั้งหลายก็ขี้เกียจสันหลังยาวโดดประชุมกันเป็นว่าเล่น
เหล่านี้เป็นการบ้านที่ประธานสภาคนใหม่จะต้องเข้ามาลบล้างจุดด่างดำ ซักฟอกคราบสกปรก ให้สภาดูดีขึ้น จำเป็นต้องได้คนที่มีภาพลักษณ์ดี น่าเชื่อถือ และพร้อมจะทำหน้าที่จริงๆ
มิฉะนั้น ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่หลายฝ่ายถวิลหาจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย และเมื่อในระบบป้อแป้แล้ว การเมืองนอกระบบ การเมืองที่ไร้ระเบียบหลักเกณฑ์จะมีพลังขึ้นมาทันที เหตุการณ์มันก็อาจจะซ้ำรอยเหมือนเก่าก่อนอีกครั้ง
วันนี้ หากไล่เรียงรายชื่อแคนดิเดตประธานสภาในพรรคเพื่อไทยแล้ว เหลือเพียง 3 รายชื่อ คือ “วิทยา บุรณศิริ”ส.ส.พระนครศรีอยุธยา อดีตประธานวิปฝ่ายค้าน รายนี้ดูจะมีภาษีน้อยที่สุด เนื่องจากชื่อชั้นบารมี “ยังไม่ถึง” ได้เรียนรู้งานสภาก็ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านเท่านั้น บทบาทที่ผ่านมาก็ไม่โดดเด่นอะไรนัก ดูพื้นๆ เหมือนทำงานประจำ ไม่มีอาการทะลุทะลวง มุ่งมั่นเท่าที่ควร จึงทำให้การทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาไม่โดดเด่นเร้าใจ เป็นเพียงฝ่ายค้านมือสมัครเล่นแค่นั้น
อีกคนหนึ่งคือ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ส.ส.ขอนแก่น อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ซึ่งเคยโชว์ฝีไม้ลายมือเป็นที่จดจำด้วยเอกลักษณ์ประจำตัวด้วยการถือค้อนขึ้นมาในระหว่างทำหน้าที่การประชุมสภา จนเป็นที่มาของฉายา “ขุนค้อน” เป็นตัวเก็งเต็งจ๋าคนในพรรคกล่าวขวัญถึงมากที่สุดชั่วโมงนี้ ด้วยสเปกที่เคยผ่านงานสภา และได้รับสัญญาใจลับๆ จาก “นายใหญ่” นช.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าจะให้ตำแหน่งแห่งที่อีกครั้ง จึงทำให้ดูดีมีภาษีกว่าใคร
คนสุดท้ายคือ ท่านรองโรมานอฟ “พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย” อดีตรองประธานสภาสดๆ ร้อนๆ ผู้ซึ่งมีจุดยืนและจิตใจฝักใฝ่เสื้อแดง ว่างจากการประชุมสภาเมื่อไรมักจะเห็นไปขึ้นเวทีเสื้อแดงปลุกเร้าด้วยสไตล์ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนเป็นคนละคนกับตอนทำหน้าที่ในสภาทุกครั้งไป
คนนี้ได้รับแรงเชียร์จากคนเสื้อแดงสุดลิ่มทิ่มประตู ถึงขนาดขนคนมากกดดัน “ยิ่งลักษณ์” ถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย แต่การทำหน้าที่ในสภาที่ผ่านมาถือว่า สอบผ่านได้เกรดขั้นดี มีลำหักลำโค่นจัดการกับสมาชิกสภาได้ดี
วันนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต้องต่อกรกับฝ่ายค้านมืออาชีพอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่จ้องถล่มแหลกด้วยปมร้อนๆ ว่าด้วยคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นส.ส. เข้ามายึดครองสภาเป็นส.ส.จำนวนมาก ภาพของการต่อสู้เข้มข้นดุเดือดจากนอกสภาต้องเดินเข้าสู่สภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่าการควบคุม วางเกมในสภาในอนาคตข้างหน้านี้จะเป็นอย่างไร หากได้ “อภิวันท์”เป็นประธานสภาคอยห้ามมวยสมกับหน้าที่ที่เคยทำไว้แล้ว ประกอบกับการที่คนเสื้อแดง แกนนำเสื้อแดงให้ความเคารพเกรงใจ
ชื่อของ “อภิวันท์ วิริยะชัย” จึงดูโดดเด่นขึ้นมามากกว่าแคนดิเดตคนใดๆ
แต่ทว่า “อภิวันท์” เองก็รู้ดีว่าตัวเองมีจุดอ่อนสำคัญ ในฐานะที่เคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงปราศรัยกระทบชิ่งไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงทำให้ที่สุดแล้วต้องประกาศ “ถอนตัว” จากแคนดิเดตออกไปอย่างเสียไม่ได้ รวมทั้งไม่ยอมรับตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติใดๆด้วย คงเพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็น “ปมอันตราย” ภายในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องใหญ่อย่าง การร่วมเข้างานรัฐพิธีใดๆ ที่ “อภิวันท์” จะต้องไปเผชิญหน้ากับ “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม้เบื่อไม้เมาในฐานะที่คนเสื้อแดงยกให้เป็น “มือที่มองไม่เห็น” หรือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”!!!
ทั้งสองเป็นคนต่างสีและมีความแค้นฝังลึกกันมา...จะปรองดองมายืนในแถวเดียวกันได้อย่างไร?
