แล้วก็ได้ตัวประธานสภา รองประธานสภา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้ง 3 คน ล้วนมาจากพรรคเพื่อไทย คือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เจริญ จรรย์โกมล และ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ขุนค้อน “สมศักดิ์” ไม่พลิกโผนอนมาตั้งแต่ต้น เรียกว่าม้วนเดียวจบ
ชื่ออื่นๆ เป็นเพียงตัวสอดแทรก โดยระยะหลังชื่อ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานโรมานอฟ แกนนำคนเสื้อแดง แรงขึ้นมา แต่ก็ถอนตัวไปในท้ายที่สุด เพราะมี “สัญญาณแทรก”
กระบวนการต่อจากนี้คือ การเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็จะได้นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะเป็นการพิสูจน์การทำงานของจริงบนตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศ จะสลัดหลุดภาพการเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่คนเสื้อแดงที่ยังหลบหนีคดีอยู่ ได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นเพียงนายกฯ นอมินีตามที่คนเขากล่าวหา อีกไม่นานคงได้เห็นกัน
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่ายถึงโฉมหน้า ครม.ปู 1 จะออกมาสวยหล่อหรือขี้ริ้วขี้เหร่ หรือติดหล่มอยู่กับระบบโควตาการเมือง ตำแหน่งหลายตำแหน่งนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้จะต้องเข้ามาสะสางปัญหา และสร้างสิ่งใหม่ ชนิดเร่งด่วน
เพราะช่วงไม่กี่ปีหลังที่ผ่านมานี้ปัญหาจากภายนอกรุมเร้าประเทศไทยมากมาย ความเชื่อมั่นของนานาประเทศที่มองเข้ามายังประเทศไทยมีคำถามเคลือบแคลงมาตลอด หลังจากเกิดวิกฤติซ้ำซ้อนในประเทศไทยมาหลายปี ตั้งข้อสงสัยว่าไทยเรากำลังปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เหตุใดทหารจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เป็นผู้บงการ กำหนดทิศทางการเมือง จากดินแดนสยามเมืองยิ้มแห่งความสงบสุข กลายเป็นดินแดนมิคสัญญี การค้าการลงทุนกระจุยกระจาย หดหายไปหมด เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะต้องมาแก้ไขโดยเร็ว
นอกจากนี้ ภารกิจการประสานงาน การทำธุรกิจการค้าขยายการลงทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ดูเหมือนจะสะดุดหยุดลง หลังจากได้ รมว.ต่างประเทศ ชื่อ “กษิต ภิรมย์” เพราะมีภารกิจหลักหนักแน่นอยู่ที่การสร้างภาพไล่ล่าตามล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้เกิดความระหองระแหงกับบางประเทศ จนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอัน
ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทพระวิหาร ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอดและมาปะทุหนักในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสต่อไปของประเทศไทย และรัฐบาลชุดใหม่
ไม่แน่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ซึ่งอยู่ในปีกอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับนายฮุนเซน อาจทำให้อะไรง่ายขึ้น การเจรจาโอนอ่อนกันอาจมีให้เห็นมากขึ้น แล้วปัญหาข้อพิพาทอาจจบลงด้วยดี หรือปล่อยให้ค้างไว้ต่อไปแล้วสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันแบบสมานฉันท์
เหนืออื่นใดเลย หัวหอกหรือแนวหน้าเดินเรื่องต่างๆเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศ พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาล ดูเหมือนจะตระหนักถึงปัญหา แลภารกิจหนักของกระทรวงนี้ จึงมีกระแสข่าวว่าจะให้มีรัฐมนตรี 2 คน ว่าการ 1 คน และช่วยว่าการอีก 1 คน เหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ หวังพลิกฟื้นประเทศไทย กอบกู้ภาพลักษณ์ให้เร็วที่สุด ที่สำคัญคือมุ่งหวังให้รัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางไปให้ข้อมูลนานาประเทศ ถึงสถานการณ์การเมืองไทย และสถานภาพของพ.ต.ท.ทักษิณ
หรือพูดง่ายๆ คือ ไปแก้ข่าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการน่าจะลงล็อกที่ “ต่อพงษ์ ไชยสาส์น” อดีตส.ส.อุดรธานี ที่วันนี้ยอมขึ้นปาร์ตี้ลิสต์ในลำดับร้อยกว่าๆ ไม่ได้เป็นส.ส.แน่นอน ยอมไม่เป็นส.ส.เพื่อแลกกับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่ง “ประจวบ ไชยสาส์น” ผู้เป็นพ่อในฐานะขาใหญ่อีสานต้องเดินเกมผลักดันลูกชายขึ้นแท่นเสนาบดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแน่ เพราะยอมลงทุนถึงขนาดนี้แล้วจะจั่วลมได้อย่างไร ล่าสุดก็ไปปรากฏกายข้างๆ “ยิ่งลักษณ์” บนงานเลี้ยงสังสรรค์ หนีไม่พ้นเรื่องกระซิบขอตำแหน่งให้ลูกชาย
ตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศชั่วโมงนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องควานหาบุคคลที่มีภาพลักษณ์ดูดี เป็นมืออาชีพน่าเชื่อถือ เท่าที่กวาดสายตาไล่เรียงรายชื่อดูในพรรคเอง ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “พิทยา พุกกะมาน” คณะทำงานฝ่ายต่างประเทศพรรคเพื่อไทย อดีตเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยในหลายประเทศ และอดีตที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศ สมัยที่นาย นพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ ก็มีเสียงคัดค้านว่าเป็นพวกเจ้าขุนมูลนาย ถือตัว ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง แม้ฝีมือพอจะไปวัดไปวาได้ แต่บุคลิกโดยรวมแล้วไม่น่าจะผ่าน
ดังนั้น จึงมีรายชื่อคนนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้ง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ผู้ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจ เศรษฐกิจ ด้วยความมุ่งหวังจะให้เข้ามากอบกู้เรื่องเศรษฐกิจ การค้าส่งออกระหว่างประเทศ และชื่อนี้ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะดูนายกิตติรัตน์จะเหมาะสมกับเศรษฐกิจมากกว่า ด้านต่างประเทศ ที่จะต้องมีหลากมิติมากกว่านั้น
ล่าสุดก็มีชื่อคนในกระทรวงการต่างประเทศ เช่น “ดอน ปรมัตถ์วินัย” อดีตเอกอัครราชทูตประเทศไทยประจำกรุงวอชิงตันดีซี เพราะเป็นคนที่ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศนิยมชมชอบ มีความเหมาะสม มีฝีมือ และหน่วยก้านดี
แต่คนที่น่าจะใช่ที่สุด และชื่อก็นิ่งอยู่นานแล้วคือ “วิกรม คุ้มไพโรจน์” อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศและเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน คนหนึ่งที่นายใหญ่สนิทสนมและไว้ใจ เพราะเคยร่วมกันทำ “เซ็งลี้” ซื้อกิจการสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นที่ฮือฮามาแล้ว คนนี้นอกจากจะมีดีด้านการต่างประเทศ ยังมีหัวทางธุรกิจการค้าด้วย
ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่ารมว.ต่างประเทศของ ครม.ปู 1 จะเข้ามาแก้โจทย์การบ้านยากๆ หลายข้อที่มีอยู่ได้ดีมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางการคาดหวังของฝ่ายต่างๆ ตำแหน่ง รมว.ประเทศนี้ถือเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล มันจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงหน้าตาว่าจะหล่อหรือขี้เหร่
จะเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ หรือทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
จะเร่งแก้ไขข้อพิพาท กู้ภาพลักษณ์วิกฤติประเทศไทยที่จมปลักมายาวนาน หรือจะมาเป็นเพียงแค่เสนาบดีขี้ข้า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทำทุกอย่างสนองนาย และกรุยทางสู่มาตุภูมิของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมองภารกิจประเทศไทยเป็นเพียงงานรอง
ชื่ออื่นๆ เป็นเพียงตัวสอดแทรก โดยระยะหลังชื่อ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานโรมานอฟ แกนนำคนเสื้อแดง แรงขึ้นมา แต่ก็ถอนตัวไปในท้ายที่สุด เพราะมี “สัญญาณแทรก”
กระบวนการต่อจากนี้คือ การเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็จะได้นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะเป็นการพิสูจน์การทำงานของจริงบนตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศ จะสลัดหลุดภาพการเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่คนเสื้อแดงที่ยังหลบหนีคดีอยู่ ได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นเพียงนายกฯ นอมินีตามที่คนเขากล่าวหา อีกไม่นานคงได้เห็นกัน
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่ายถึงโฉมหน้า ครม.ปู 1 จะออกมาสวยหล่อหรือขี้ริ้วขี้เหร่ หรือติดหล่มอยู่กับระบบโควตาการเมือง ตำแหน่งหลายตำแหน่งนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้จะต้องเข้ามาสะสางปัญหา และสร้างสิ่งใหม่ ชนิดเร่งด่วน
เพราะช่วงไม่กี่ปีหลังที่ผ่านมานี้ปัญหาจากภายนอกรุมเร้าประเทศไทยมากมาย ความเชื่อมั่นของนานาประเทศที่มองเข้ามายังประเทศไทยมีคำถามเคลือบแคลงมาตลอด หลังจากเกิดวิกฤติซ้ำซ้อนในประเทศไทยมาหลายปี ตั้งข้อสงสัยว่าไทยเรากำลังปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เหตุใดทหารจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ เป็นผู้บงการ กำหนดทิศทางการเมือง จากดินแดนสยามเมืองยิ้มแห่งความสงบสุข กลายเป็นดินแดนมิคสัญญี การค้าการลงทุนกระจุยกระจาย หดหายไปหมด เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะต้องมาแก้ไขโดยเร็ว
นอกจากนี้ ภารกิจการประสานงาน การทำธุรกิจการค้าขยายการลงทุนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ดูเหมือนจะสะดุดหยุดลง หลังจากได้ รมว.ต่างประเทศ ชื่อ “กษิต ภิรมย์” เพราะมีภารกิจหลักหนักแน่นอยู่ที่การสร้างภาพไล่ล่าตามล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ จนทำให้เกิดความระหองระแหงกับบางประเทศ จนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอัน
ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทพระวิหาร ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอดและมาปะทุหนักในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสต่อไปของประเทศไทย และรัฐบาลชุดใหม่
ไม่แน่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ซึ่งอยู่ในปีกอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับนายฮุนเซน อาจทำให้อะไรง่ายขึ้น การเจรจาโอนอ่อนกันอาจมีให้เห็นมากขึ้น แล้วปัญหาข้อพิพาทอาจจบลงด้วยดี หรือปล่อยให้ค้างไว้ต่อไปแล้วสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันแบบสมานฉันท์
เหนืออื่นใดเลย หัวหอกหรือแนวหน้าเดินเรื่องต่างๆเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ ย่อมต้องเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศ พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาล ดูเหมือนจะตระหนักถึงปัญหา แลภารกิจหนักของกระทรวงนี้ จึงมีกระแสข่าวว่าจะให้มีรัฐมนตรี 2 คน ว่าการ 1 คน และช่วยว่าการอีก 1 คน เหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ หวังพลิกฟื้นประเทศไทย กอบกู้ภาพลักษณ์ให้เร็วที่สุด ที่สำคัญคือมุ่งหวังให้รัฐมนตรีต่างประเทศเดินทางไปให้ข้อมูลนานาประเทศ ถึงสถานการณ์การเมืองไทย และสถานภาพของพ.ต.ท.ทักษิณ
หรือพูดง่ายๆ คือ ไปแก้ข่าวให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการน่าจะลงล็อกที่ “ต่อพงษ์ ไชยสาส์น” อดีตส.ส.อุดรธานี ที่วันนี้ยอมขึ้นปาร์ตี้ลิสต์ในลำดับร้อยกว่าๆ ไม่ได้เป็นส.ส.แน่นอน ยอมไม่เป็นส.ส.เพื่อแลกกับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่ง “ประจวบ ไชยสาส์น” ผู้เป็นพ่อในฐานะขาใหญ่อีสานต้องเดินเกมผลักดันลูกชายขึ้นแท่นเสนาบดีอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแน่ เพราะยอมลงทุนถึงขนาดนี้แล้วจะจั่วลมได้อย่างไร ล่าสุดก็ไปปรากฏกายข้างๆ “ยิ่งลักษณ์” บนงานเลี้ยงสังสรรค์ หนีไม่พ้นเรื่องกระซิบขอตำแหน่งให้ลูกชาย
ตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศชั่วโมงนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องควานหาบุคคลที่มีภาพลักษณ์ดูดี เป็นมืออาชีพน่าเชื่อถือ เท่าที่กวาดสายตาไล่เรียงรายชื่อดูในพรรคเอง ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “พิทยา พุกกะมาน” คณะทำงานฝ่ายต่างประเทศพรรคเพื่อไทย อดีตเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยในหลายประเทศ และอดีตที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศ สมัยที่นาย นพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ ก็มีเสียงคัดค้านว่าเป็นพวกเจ้าขุนมูลนาย ถือตัว ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง แม้ฝีมือพอจะไปวัดไปวาได้ แต่บุคลิกโดยรวมแล้วไม่น่าจะผ่าน
ดังนั้น จึงมีรายชื่อคนนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้ง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ผู้ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจ เศรษฐกิจ ด้วยความมุ่งหวังจะให้เข้ามากอบกู้เรื่องเศรษฐกิจ การค้าส่งออกระหว่างประเทศ และชื่อนี้ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะดูนายกิตติรัตน์จะเหมาะสมกับเศรษฐกิจมากกว่า ด้านต่างประเทศ ที่จะต้องมีหลากมิติมากกว่านั้น
ล่าสุดก็มีชื่อคนในกระทรวงการต่างประเทศ เช่น “ดอน ปรมัตถ์วินัย” อดีตเอกอัครราชทูตประเทศไทยประจำกรุงวอชิงตันดีซี เพราะเป็นคนที่ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศนิยมชมชอบ มีความเหมาะสม มีฝีมือ และหน่วยก้านดี
แต่คนที่น่าจะใช่ที่สุด และชื่อก็นิ่งอยู่นานแล้วคือ “วิกรม คุ้มไพโรจน์” อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศและเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน คนหนึ่งที่นายใหญ่สนิทสนมและไว้ใจ เพราะเคยร่วมกันทำ “เซ็งลี้” ซื้อกิจการสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นที่ฮือฮามาแล้ว คนนี้นอกจากจะมีดีด้านการต่างประเทศ ยังมีหัวทางธุรกิจการค้าด้วย
ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่ารมว.ต่างประเทศของ ครม.ปู 1 จะเข้ามาแก้โจทย์การบ้านยากๆ หลายข้อที่มีอยู่ได้ดีมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางการคาดหวังของฝ่ายต่างๆ ตำแหน่ง รมว.ประเทศนี้ถือเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล มันจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงหน้าตาว่าจะหล่อหรือขี้เหร่
จะเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ หรือทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
จะเร่งแก้ไขข้อพิพาท กู้ภาพลักษณ์วิกฤติประเทศไทยที่จมปลักมายาวนาน หรือจะมาเป็นเพียงแค่เสนาบดีขี้ข้า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทำทุกอย่างสนองนาย และกรุยทางสู่มาตุภูมิของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมองภารกิจประเทศไทยเป็นเพียงงานรอง