”ชูวิทย์” เชื่อ คนไทยยังชอบคนเก่งแต่โกง เหตุเลือก “แม้ว” มากกว่า “มาร์ค” เตือน บ้านเมืองไม่ใช่บริษัทเอกชน ให้คนเก่งแต่โกงบริหารเท่ากับมาปล้นเงินประชาชน เผยโครงการขนาดใหญ่ล้วนมีทุจริต แต่นักการเมืองถูกลงโทษ แค่ “รักเกียรติ” แนะออกกฎหมายฟันนักการเมืองโกงให้จบใน 1 ปี ไล่พวกเก่งแต่โกงพ้นการเมือง
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ได้ตีพิมพ์บทความพิเศษในเว็บไซต์พรรครักประเทศไทย หัวข้อ “เก่งแต่โกง” โดยระบุว่า ตนมีสองคำถามที่อยากให้ประชาชนคนทั่วไปได้ตรอง คือ “คุณคิดว่าบุคคลสองคนนี้ใครบริหารงานเก่งกว่ากัน?” และ “คำถามที่สอง คุณคิดว่าบุคคลต่อไปนี้ใครมีความซื่อสัตย์สุจริตมากกว่ากัน” โดยมีตัวเลือกระหว่าง ก. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ ข. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากตอบคำถามแรก ว่า ก.และคำถามที่สองว่า ข.ซึ่งตนเชื่อว่าจะต้องตอบแบบนั้นอย่างแน่นอน นั่นมันแสดงให้เห็นว่าชอบ “คนที่เก่งแต่โกง” ทำไมสังคมไทยถึงให้ความเชื่อถือบุคคลที่มีความสามารถบริหารงานเก่ง แต่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต
บทความระบุว่า ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าการบริหารงานของบ้านเมือง ไม่ใช่การบริหารงานบริษัทเอกชน ผลกำไรในการทำงานการเมืองไม่ใช่รูปแบบของตัวเงิน แต่เป็นศรัทธาของประชาชน ดังนั้น หากคุณเข้าใจผิดก็ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ว่า การทำงานในธุรกิจเอกชน ซึ่งมีการแข่งขัน มีคู่แข่งขัน และการแข่งขันที่สูง คุณมีสิทธิ์ที่คิดว่าคุณทำงานเก่งและคุณโกงได้ ทั้งนี้ อาจจะเพราะคุณต้องแข่งกับบรรดาคู่แข่งขันอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่คุณทำรูปแบบของบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีให้แก่รัฐ คุณอาจจะทำการโปรโมชันโฆษณา เพื่อให้ลูกค้าของคุณมาซื้อสินค้าของคุณ โดยที่คุณไม่ได้พูดความจริง คุณอาจจะใช้ความสามารถในการบริหารงานของคุณเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณโดยที่คุณไม่สนใจไม่คำนึงถึงเรื่องของจริยธรรม
แต่ทว่าการทำงานทางการเมืองเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป คุณไม่ได้ทำงานเพื่อหวังผลกำไรในรูปแบบของตัวเงิน หรือทำประโยชน์เพื่อส่วนตัว เพื่อบริษัท การทำงานเพื่อส่วนรวมย่อมแสดงถึงผลประโยชน์ที่ไม่ไช่ของคนใดคนหนึ่ง กำไรที่คุณจะได้ แน่นอนว่าไม่ไช่ตัวเงิน เมื่อคุณเห็นถึงความแตกต่างในระหว่างการทำงานทั้งสองประเภท คุณก็จะเข้าใจว่า คุณไม่สามารถให้คนที่มาบริหารบ้านเมืองที่เก่งแต่สามารถโกงได้ เมื่อเขาเข้ามาทำแบบนั้น ก็เท่ากับ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ความหมายก็คือโกงประชาชน ปล้นเงินรัฐ แน่นอนว่าเป็นเงินของส่วนรวม ไม่ใช่เงินของส่วนตัว ความเสียหายมันกระจายไปที่ทุกๆ คนในประเทศนี้ มันไม่ไช่การแข่งขัน ซึ่งคุณจะโกงแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ความคาดหวังของประชาชนต่อนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศจะสูญสิ้นความศรัทธาที่ล่มสลาย หากความสามารถนั้นตกอยู่กับนักการเมืองที่ “เก่งแต่โกง” ความเข้าใจผิดที่ผมกล่าวมาข้างต้น จะส่งผลเป็นหายนะให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งแน่นอนผลที่เกิดขึ้นไม่โดยทันที แต่จะฝังรากลึก และเป็นตัวอย่างให้กับบุคคลอื่นๆ ที่จะมาทำงานการเมืองให้เห็นว่า “ผมโกงได้ถ้าผมทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง”
หลายๆ กรณีที่เราพบว่าโครงการต่างๆ ของรัฐสำเร็จลุล่วงแต่เจือปนไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น ตัวอย่างเช่น โครงการแอร์พอร์ตลิงก์ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการต่างๆ เหล่านั้นสำเร็จลุล่วง แต่ท่านแน่ใจหรือว่าโครงการเหล่านี้ไม่มีการทุจริต “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” (โกงเงินรัฐ) หรือโครงการรถเรือดับเพลิง ซึ่งจอดอยู่โกดังถึงบัจจุบันเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว หลายท่านคงลืมไป รถเรือต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้จอดใช้งาน คาทิ้งไว้ในโกดัง โดยที่ กทม.ได้จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีการดำเนินการ หรือมีความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด อาจจะได้ข้าราชการประจำบางคน แต่ผู้สั่งการหรือหรือ “ข้าราชการการเมือง” ไม่เคยถูกลงโทษ จวบจนปัจจุบัน ยังไม่ได้ขั้นตอนของศาลแต่อย่างใด เช่นโครงการเรือขุดเอลลิคอตต์ ซึ่งใช้เวลาถึงปัจจุบัน 14 ปี ในการตัดสินและได้เพียงแค่ระดับอธิบดีซึ่งเป็นข้าราชการประจำ โดยความสูญเสียเกินกว่าพันล้าน เกินกว่าอธิบดีจะรับผิดชอบได้ บรรดาข้าราชการการเมืองต่างหลุดรอดจากบ่วงกรรมไปโดยทั้งสิ้น น้อยครั้งมาก ถึงขนาดร้อยละหนึ่ง ที่จะมีข้าราชการการเมืองอย่างเช่น นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขที่ถูกจำคุก เนื่องจากการทุจริตตกแต่งรัฐมนตรีในกระทรวง
“ทำไมข้าราชการการเมืองถึงไม่ถูกลงโทษ ทำไมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต้องใช้เวลาเนิ่นนาน หากเรามี “กฎหมายในการลงโทษข้าราชการการเมือง” โดยให้ดำเนินการคดีให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งปี เราจะทำให้การทุจริตคอร์รัปชัน “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ลดน้อยลงไปจากประเทศไทย และคุณอาจจะเปลี่ยนความคิดว่า “เก่งแต่โกง” ออกจากสมองของคุณ เพราะบุคคลเหล่านั้นจะถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน แต่ตราบใดที่คุณยังไม่มีกฎหมายในการลงโทษ บุคคลเหล่านั้น คุณก็คิดอยู่ว่า “เก่งแต่โกง” คือ คนที่คุณยกย่อง” บทความกล่าวทิ้งท้าย