“อดีตท่านรองฯ โรมานอฟ” เชื่อ กกต.ให้ความเป็นธรรม “ไอ้ตู่-ไอ้เต้น” ได้เป็น ส.ส. ขณะเดียวกันมั่นใจวันนี้ได้ ส.ส.ครบ 95% พร้อมแบะท่าอยากนั่งประธานสภาฯ
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนขอชื่นชมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จัดการเลือกตั้งครั้งนี้ได้บริสุทธิ์ยุติธรรมได้ระดับหนึ่ง ส่วนการจะรับรองนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำกลุ่ม นปช.หรือไม่นั้น คิดว่า กกต.คงจะพิจารณาให้ความเป็นธรรม และเชื่อว่าภายในวันนี้ (27 ก.ค.) จะประกาศรับรอง ส.ส.ให้ครบ 95 เปอร์เซ็นต์
ส่วนที่มีชื่อเป็นแคนดิเดตประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น พ.อ.อภิวันท์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริหารและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี จะพิจารณาร่วมกันว่าใครมีความเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายคนทั้งนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น, นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา และตน ซึ่งพรรคได้มอบให้กรรมการบริหารพรรคไปพิจารณา นอกจากนี้ ตำแหน่งประมุขในฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง 3 ตำแหน่ง ควรมีคนของพรรคร่วมมาเป็นรองประธานสภาฯ หนึ่งคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่พรรคร่วมอาจจะอยากรักษาสิทธิความเป็นรัฐมนตรีมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามถึงบทบาทของประธานสภาในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน พ.อ.อภิวันท์กล่าวว่า หากตนมีโอกาสซึ่งได้คิดมานานแล้วว่าประเทศประชาธิปไตย จะให้ความสำคัญต่อระบบรัฐสภา เป็นอันดับสองรองจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น เราควรส่งเสริมอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติให้เป็นหลักของบ้านเมือง เพราะเราไม่ใช่ผู้เล่น เราเป็นกรรมการ มีหน้าที่ออกกฎหมายเพื่อให้ฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหารไปอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนและบ้านเมือง
“เราเป็นกรรมการ ซึ่งจะต้องดำรงการเสียสละเพื่อประเทศชาติ แต่ผมไม่รู้ว่าจะได้มาทำหน้าที่หรือไม่ ถามว่าอยากหรือไม่ ก็ยังเฉยๆ ไม่รู้ว่าจะได้นั่งตำแหน่งใดหรือไม่ แต่หากได้รับมอบหมายให้ทำเรื่องอะไรก็จะทำอย่างเต็มที่ เห็นได้ว่าช่วงที่ผ่านมาผมนั่นเก็บตัว ไม่ได้ไปไหนเลย ส่วนจะให้เลือกระหว่างการเป็นประธานสภากับตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นไปได้ก็อยากอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่า ปัจจุบัน ส.ส.กว่า 80% ถือว่ามีวุฒิภาวะ เสียสละทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง แต่ภาพที่ออกมาว่าทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง หากประธานขาดความยุติธรรม ไม่แม่นกฎกติกา บรรยากาศในสภาก็จะไม่เรียบร้อย ดังนั้นเราต้องทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความเป็นอิสระ ปลอดจากการครอบงำของฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ต้องทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งผมพยายามจะทำให้ได้ นอกจากนี้ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ถือว่ามีความสำคัญเพราะใกล้ชิดกับทหาร เราต้องมองไปข้างหน้า ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน อย่ามองแต่ข้างหลัง ข้างหลังถือว่าเอาไว้เป็นบทเรียน แต่วันนี้บ้านเมืองเราต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน”