ย้อนไปก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 แวดวงนักการเมืองตลอดจนประชาชนคอการเมืองประเทศไทย ต่างคาดเดาต่างๆ นาๆ ถึง หน้าตารัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะมีพรรคการเมืองใดบ้าง ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
หลายคนคิดว่า มันคงจะเป็นรัฐบาลผสม แกงโฮะต้มยำเหมือนอย่างเคยๆ ไม่คาดคิดว่าจะมีพรรคหนึ่งพรรคใดกวาดเสียงไปเกินครึ่ง อย่างที่พรรคเพื่อไทยทำได้
พรรคการเมืองใหญ่ น้อย ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น วันนี้ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน อาการดูเหมือนยังไม่หายเมาหมัด เงียบเชียบไปตามๆ กัน
พรรคประชาธิปัตย์เริ่มหันมาทบทวนท่าทีภายในกันเอง จ้องจะรื้อค้นปรับระบบกันชนิดล้างบาง เพราะเลือกตั้งทีไรไม่เคยชนะพรรคการเมืองไหนได้ เป็นขี้แพ้เช่นนี้ติดต่อกันมาเกือบ20ปีแล้วตั้งแต่แพ้เลือกตั้งปี2535/2
ยิ่งปะทะกับ นช.พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตคนมีแผ่นดินอยู่ทีไร เหมือนมวยแพ้ทาง พ่ายทุกทีแบบหมดรูป มันเจ็บปวดคับแค้นจนคนปชป.แทบจะกระอักเลือดตาย
พรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ ก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก กินยาทัมใจวันละ 3 เวลา จนป่านนี้ยังทำใจไม่ได้ ไม่รู้จะเดินเกมการเมืองอย่างไรต่อไปดี หลังจากความพ่ายแพ้ย่อยยับ จนไม่กล้าสู้หน้าใคร
พรรคเล็ก พรรคน้อย ที่เพื่อไทยอุตส่าห์ลากไปร่วมรัฐบาลด้วย อย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคพลังชล ก็รู้ตัวเองดีว่าได้ร่วมรัฐบาลก็บุญโขแล้ว ชั่วโมงนี้จึงไม่กล้าออกตัวแรง เสียงดังกระโตกกระตากอะไร
โดยเฉพาะโควตาเก้าอี้รัฐมนตรี ที่ตั้งความหวังไว้ว่าจะได้แบบนั้น แบบนี้ สุดท้ายหากพรรคเพื่อไทยโยนเก้าอี้ใดมาก็ต้องกอดเอาไว้ก่อน ดีกว่าเป็นฝ่ายค้านนั่งตบยุงเป็นไหนๆ และไอ้บทบาทแบบนั้น เตี้ย5สั้นสารพัดพิษ“บรรหาร ศิลปอาชา” เล่นไม่ค่อยเป็น
วันนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีของพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนอย่างท่วมท้น ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียงเกินครึ่งหนึ่ง สามารถทำอะไรตามที่ใจคิดได้มากกว่าต้องเป็นแกนนำรัฐบาลที่ต้องอาศัยเสียงจากพรรคการเมืองอื่นๆ ประคับประคองเสถียรภาพของรัฐบาล เหมือนเช่นรัฐบาลประชาธิปัตย์
สำคัญเหนืออื่นใดเลยคือเรื่องนโยบายที่หาเสียง เป็นสัญญาประชาคมไว้กับประชาชน จำเป็นต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นรัฐบาลแล้วละเลยทำเป็นหลงลืม มิฉะนั้นจะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน
เมื่อเป็นแกนนำหลักแบบเบ็ดเสร็จขนาดนี้แล้ว นโยบายต่างๆ ของตัวเองย่อมต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีสิทธิ์ขวางทางอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ด่าพรรคประชาธิปัตย์ปาวๆ 99 วันทำไม่ได้จริง ถึงคราวตัวเองก็อย่าให้เสียราคาคุยก็แล้วกัน!!
สิ่งที่จะพิสูจน์ความจริงใจว่าจะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ สิ่งซึ่งพิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และประเทศชาติ มากกว่าการมุ่งเน้นบริหารเกมการเมือง หรือช่วยเหลือนักโทษหนีคดี ต้องคดี ๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ นั่นก็คือการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีให้สมกับที่คาดหวังของใครหลายคน
โฉมหน้า “ครม.ปู1” ทุกคนจับจ้องด้วยใจจดจ่อ ว่าจะออกมาหล่อเหลา สวยสะพรั่งต้องตาต้องใจเพียงใด วันนี้ทุกคนเบื่อการเมืองน้ำเน่าเต็มที อยากเห็นการพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยครั้งใหญ่ อยากเห็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาพวกสายพันธุ์นักการเมืองเทาๆ ดำๆ นักธุรกิจการเมือง นักต่อรองผลประโยชน์ ไปไว้ไกลๆ ไม่ต้องมานั่งชูคอสลอนเสนอหน้าเหมือนเช่นที่ผ่านมาๆ แล้วเอาคนดี เด่น ดัง เชี่ยวชาญการทำงานในแต่ละด้านจริงๆ มานำพาชาติให้ไปโลดเสียทีเถอะ
ตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีแล้ว เพราะคนที่เหลืออยู่ในพรรคเพื่อไทยหลายคนก็ดูดี เป็นมือทำงานชั้นดีหลายคน นักธุรกิจการเมืองถูกสกรีนออกไปเยอะ จนน่าจะเรียกได้ว่าเยอะที่สุดแล้ว บ้านเลขที่ 111 และ 109 ก็ได้ตัดคนเหล่านี้ให้ไปอยู่ในวงนอก คนที่ยังเข้ามายุ่มย่ามยุ่งเกี่ยวก็กระจัดกระจายไปตามพรรคการเมืองอื่นๆ
เช่น เนวิน ชิดชอบ นักการเมืองผู้กล้าได้กล้าเสียในทางมืด สมศักดิ์ เทพสุทิน นักธุรกิจการเมืองผู้ปวารณาตัวเดินเกมเป็นฝ่ายรัฐบาลชั่วชีวิต ก็ไปอยู่กับค่ายภูมิใจไทย ที่พรรคเพื่อไทยประกาศไม่เหยียบเงา ไม่เผาผี ขณะที่พวกมือใหม่หัดเดินทางสายมืด ก็สอบตก กระเด็นหายตายจากไปหลายคน พวกมนุษย์การเมืองแสวงประโยชน์ที่มาร่วมรัฐบาลก็ไม่มีพลังต่อรองอะไรมากมาย
ไม่ลงมือทำวันนี้แล้วจะทำวันไหน!!กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจบนประโยชน์ประเทศชาติ ไม่มีใครกล้าต่อว่าแน่นอน เสียงก่นด่าจากนักการเมืองน้ำเน่าสุดท้ายอาจเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
ต้องแข็งแกร่งเดินหน้าท้าลมฝน!!
เมื่อสร้างประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประเทศไทยแล้ว การจะสร้างปรากฏการณ์ที่สวยงามอื่นใด ย่อมเป็นสิ่งที่น่าจะทำไปในคราวเดียวกัน นานมาแล้วที่หลายคนคาดหวังการพลิกโฉมการเมืองประเทศไทยแบบพลิกฝ่ามือ วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุด..
แน่นอนว่า รูปแบบการเมืองเดิมๆ ยังมิอาจสลัดหลุดพ้นไปในทันทีทันใด ภาพที่ฝังลึกเก่าๆ ตั้งแต่รุ่นราวคราวปู่ มันเป็นเหมือนวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมา ที่ยังไม่มีใครสามารถลบล้างไปได้
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ยังเป็นมือใหม่ทางการเมือง ย่อมซึมซับวัฒนธรรมเหล่านี้มาไม่มากก็น้อย และด้วยบุคลิกที่ประนีประนอมอ่อนน้อม อ่อนโยนตามสไตล์ผู้หญิง ย่อมต้องรับรู้และรับฟังมาตลอด การจะพลิกเปลี่ยนแบบ 360 องศา น่าจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป และ “ยิ่งลักษณ์” เองไม่กล้าทำ!! แม้กระทั่งนายใหญ่ “ทักษิณ” เองก็ไม่กล้าทำเช่นเดียวกัน
“ทักษิณ”เคยมีบทเรียนมาแล้วบนถนนการเมือง การทำอะไรตามใจตัวเอง หลายครั้งไม่ฟังเสียงใคร ไม่ฟังเสียงผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง เลยเถิดเตลิดไปจนถึงไม่ฟังเสียงประชาชน คิดว่าเก่งคนเดียว สุดท้ายก็ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นโค่นล้ม
ในขณะที่อำนาจประชาชนก็เริ่มลังเล สับสนในข้อมูลข่าวสาร และการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเลือกที่จะไม่ยืนหนุนหลังแบบเต็มตัว
บทเรียนที่แสนแพงเหล่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะจดจำไว้ชั่วชีวิต พร้อมถ่ายทอดให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เป็นแนวทาง!!
เมื่อวันนี้ประชาชนเลือกข้าง เลือกให้มาบริหารประเทศอีกครั้งแล้ว “ยิ่งลักษณ์” ก็น่าจะสรุปบทเรียนของ “ทักษิณ” ลองเลือกข้างยืนเอาหลังพิงฝ่ายประชาชน คิดและทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ นำเอาหัวใจของประชาชนมาใส่ไว้ในใจตัวเองตลอดเวลา
หากต้องเจอพายุมรสุมที่หนักหนาแล้ว บางทีพลังประชาชนอาจช่วยยืนต้านฟันฝ่าให้ผ่านไปได้ ต่างจาก “ทักษิณ”ที่เอาแต่ยืนตะโกนด่า ท้าแดด ท้าฝนเพียงลำพัง!!
บทเรียนจากประวัติศาสตร์มีให้เรียนรู้ แต่ผู้มีอำนาจมักจะคิดท้าทาย และก็พบจุดจบที่เหมือนกันเสมอ ก็ยังไม่เห็นมีใครหลาบจำ