xs
xsm
sm
md
lg

แค่ “มาร์ค” ปกปิดความผิดพลาดเอ็มโอยู 43 นำไทยถลำลึกดำดิ่ง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผ่าประเด็นร้อน

แม้ว่าในคำแถลงของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ไอซีเจ) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมได้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งสองฝ่าย คือ ไทย และกัมพูชา ต้องถอนทหารพ้นไปจากพื้นที่พิพาท ทั้งในตัวปราสาทพระวิหาร ภูมะเขือ รวมไปถึงพื้นที่โดยรอบอื่นๆ ขณะที่ฝ่ายไทยก็ต้องถอนทหารในพื้นที่ที่ส่งเข้าไปตรึงกำลังเผชิญหน้าอยู่เช่นเดียวกัน แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือคำสั่งของศาลโลกดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งให้ไทยทหารให้พ้นจากพื้นที่ของตัวเอง

ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังคงสามารถคงชุมชน วัด ที่เป็นพลเรือนเอาไว้ได้ต่อไป และที่สำคัญยังคงอนุญาตให้ส่งกำลังบำรุงได้ตลอดเวลา โดยห้ามไม่ให้ไทยขัดขวาง

หากพิจารณาโดยผิวเผินก็มองเห็นว่า ไม่มีฝ่ายไหนชนะ และศาลโลกก็ไม่ได้ทำตามข้อเสนอของฝ่ายกัมพูชาจำนวน 3 ข้อ หลักๆ ก็คือ ให้ไทยถอนทหารแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ถึงอย่างไรนาทีนี้ก็ถือว่าเสมอตัว และค่อนไปทางชนะในเรื่องครอบครองดินแดนของไทยในลักษณะ “ครอบครองปรปักษ์” ได้ต่อไป

ผลที่ออกมาแบบนี้ทำให้ฝ่ายกัมพูชามีแต่ได้กับได้ เพราะในความเป็นจริงพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ล้วนแล้วแต่เป็นชุมชนของฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น รวมไปถึงวัดแก้วศิขาคีรีสวาระ การรุกเข้ามาก่อสร้างถนนเข้ามาจนเสร็จเรียบร้อย จนสามารถบรรทุกอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาเสริมกำลังในช่วงที่มีการปะทะกับทหารไทยบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ นี่เป็นการสุมหัวของนานาประเทศที่จะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในเรื่องที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย ที่มาในรูปแบบของ “คณะกรรมการประสานงาน” ระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองและพัฒนาปราสาทพระวิหาร (ไอซีซี) จำนวน 7 ชาติ ตามกลไกของคณะกรรมการมรดกโลก นอกจากนี้ยังเข้ามาในรูปแบบของคณะผู้สังเกตการณ์ใน “เขตปลอดทหาร” นำโดย อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตัวแทนของนานาชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่แอบแฝงผลประโยชน์ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่านี่คือมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกที่กำหนดออกมาระหว่างที่กำลังพิจารณาคดีหลักที่ฝ่ายกัมพูชาร้องให้ศาลโลกพิจารณาตีความคำพิพากษาเกี่ยวกับประสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 ว่าครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ดป็นของไทยด้วยหรือไม่ และล่าสุดก็เพิ่งชนะในเบื้องต้นนั่นคือให้ไทยถอนทหารออกมาพร้อมกัน ซึ่งคำตัดสินในคดีหลักคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 ปี แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มในวันนี้ฝ่ายไทยก็ย่อมเสียเปรียบวันยังค่ำ

ที่สำคัญรัฐบาลไทยที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อ กษิต ภิรมย์ ไปยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลกตั้งแต่ต้น และเสียเปรียบมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะเดียวกันเมื่อศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกมา ทั้งคู่กลับแสดงความยินดี และแสดงท่าทียอมรับคำสั่งนั้นโดยดี

หลายคนวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า เมื่อฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบในเบื้องต้นในลักษณะนี้แล้ว คงจะไม่หยุดต้องเดินหน้าต่อ ด้วยการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้พื้นที่ตลอดแนวชายแดนของไทยตั้งแต่เดิมตั้งแต่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ตลอดจนถึงจันทบุรี ตราด ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตใหม่ตั้งแต่บนบกลงไปถึงทะเลอ่าวไทย ซึ่งในการพิจารณาคดีของศาลโลกคราวนี้ก็ยังมีการอ้างอิงแผนที่ตามมาตราส่วนดังกล่าวอีกด้วย

หากพิจารณาย้อนกลับไปถึงต้นเหตุความเสียเปรียบ เสี่ยงจะเสียดินแดนล้วนเริ่มต้นมาจากความ “ดื้อตาใส” ของผู้นำรัฐบาลไทย คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไม่ยอมรับฟังความเห็นจากคนอื่นที่ทักท้วงให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา (เอ็มโอยู 43) ที่ลงนามในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุค ชวน หลีกภัย ประสบความล้มเหลวมาตลอด เพราะถูกฝ่ายกัมพูชาละเมิดมาตลอด ที่สำคัญผลจากจากเอ็มโอยูดังกล่าวทำให้ฝ่ายตรงข้ามรุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายไทยยังติดกับอยู่กับการเจรจาทวิภาคีแต่เพียงฝ่ายเดียว

ทั้งพฤติกรรมและท่าทีที่ออกมาหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าสาเหตุที่รัฐบาลไทยในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ยอมรับอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ต้น เพราะหากเราพ่ายแพ้ เสียดินแดนก็สามารถอ้างได้ว่าเป็นเพราะพ่ายแพ้ในศาลโลก ไม่ใช่เป็นเพราะความล้มเหลวของเอ็มโอยู 43 ใช่หรือไม่ เพราะนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเดินหน้าถลำลึกลงไปเรื่อยๆ

ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อสู้คดีในศาลโลกจนถึงที่สุด มันก็เหมือนกับว่าเป็นลางหายนะในอนาคต เพราะเมื่อพิจารณาจากแนวทางในการต่อสู้ รวมทั้งคณะกรรมการที่เป็นองค์ประกอบในศาลล้วนทำให้เชื่อว่ามีความโน้มเอียงไปทางกัมพูชามาตลอด
 กษิต ภิรมย์
กำลังโหลดความคิดเห็น