วันนี้ 19 ก.ค.ถือวันดีเดย์ที่คนส่วนใหญ่จะต้องแอบลุ้นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณารับรอง ส.ส.เพิ่มเติมได้อีกเท่าไร
จากที่ได้รับรองไป 358 รายเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะประเด็นร้อนๆอย่างการประทับตรารับรองให้ 2 ผู้นำพรรคการเมืองใหญ่ และ 12 แกนนำแนวประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
เบื้องต้นมีรายงานข่าวแจ้งว่า กกต.จะรับรองเพิ่มเติมในส่วนของ ส.ส.เขตได้อีก 40 จาก 126 คน ที่โดนแขวนอยู่ ขณะที่ในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นก็คาดการณ์กันว่า ทั้งในรายของ ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ มาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เบอร์ 1 ของ 2 ค่ายการเมืองใหญ่ จะได้รับการปลดปล่อยและตีตราให้เป็น ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 24 กับเขาด้วย
ในกรณีของ “ยิ่งลักษณ์” นั้นเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ กกต.จะประกาศรับรอง เพราะทั้งในเรื่องข้อห้ามของกฎหมายต่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ทั้งบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้นั้นมีระบุถึงการไม่ให้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือในองค์กรอิสระ ห้ามตั้งพรรคการเมืองและเป็นกรรมการบริหารพรรค
ไม่ได้หมายรวมถึงในส่วนของการ “หาเสียง” ซึ่งกรณีนี้หมายถึง เจ๊แดง-เยาวภา และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวและพี่เขยของ “น้องปู” ที่ถูกร้องเรียนว่ามาช่วย “ยิ่งลักษณ์” หาเสียงแจกใบปลิวที่ จ.เชียงใหม่
รวมทั้งกฎและระเบียบของ กกต.ก็ไม่ได้ระบุมิให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองห้ามหาเสียงไว้อย่างชัดเจน
หรือแม้แต่ข้อกล่าวหาเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นั้น ก็ไม่มีความชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดี ที่ปรากฎชื่อใน “ม็อตโต้” หาเสียงของพรรคเพื่อไทย ได้ออกแบบหรือเขียนนโยบายที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็สามารถอ้างได้ว่า “ทักษิณคิด” ไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนายกฯ และยังถือสัญชาติไทยอยู่ การนำมาใช้ในการเลือกตั้งหนนี้ก็เป็นเพียงการ “ต่อยอด” เท่านั้น
ขณะที่กรณีของ “อภิสิทธิ์” ก็เช่นกันที่ไม่ปรากฏความชัดเจนถึงการกระทำความผิด จากกรณีการสั่งการให้จัดงานมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน นำสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายในช่วงหาเสียง โดยเฉพาะการจำหน่ายใกล้หน่วยเลือกตั้งล่วงหน้าที่ จ.สมุทรปราการ จนเป็นสาเหตุของการถูกร้องเรียน โดยเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึง “มือกฎหมายชั้นอ๋อง” ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็สามารถแก้ต่างได้อย่างง่ายดาย โดยอ้างว่าโครงการดังกล่าว แม้จะเป็นมติคณะรัฐมนตรีจริง แต่ก็เป็นการอนุมัติในหลักการ ส่วนการดำเนินการนั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์
เพียงเท่านี้ทั้งคู่ก็สามารถดิ้นหลุดข้อกล่าวหาได้แบบไม่ยาก
ที่สำคัญหาก กกต.จะประกาศรับรองคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว ความกดดันจะถาโถมเข้าใส่ กกต.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เชื่อว่าไม่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของ กกต.ชุดนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากจะรับรอง “ยิ่งลักษณ์” ก็ต้องประกาศรับรอง “อภิสิทธิ์” ด้วย หรือหากปล่อย “อภิสิทธิ์” ก็ต้องพ่วงชื่อ “ยิ่งลักษณ์” ไปด้วย
แต่ในส่วนของ 12 แกนนำ นปช.ของพรรคเพื่อไทยนั้น อาจต้องรอคอยไปถึงรอบหน้า เพราะได้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนในส่วนของคุณสมบัติที่ถูกร้องเรียนเข้ามา แต่การพิจารณายังไม่แล้วเสร็จดี ที่สำคัญ กกต.บางคนยังกังวลว่าหากรับรอง 12 แกนนำ นปช.ออกไป อาจทำให้ตัวเองต้องถูกฟ้องร้องได้ ตามที่ภาคประชาชนหลายกลุ่มได้ยื่นคำร้องและขู่เอาไว้
ตรงนี้อย่าลืมว่า แท้จริงหากพิจารณาถึงข้อร้องเรียนที่ทำให้ 12 แกนนำ นปช.ถูกแขวนนั้นมาจากประเด็นเรื่อง “คุณสมบัติ” ที่ กกต.หมดอำนาจในการวินิจฉัยไปแล้วตั้งแต่ชั้นการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ที่สำคัญกฎหมายก็ให้อำนาจ กกต.ในการประกาศผลการเลือกตั้งแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งได้ภายใน 7 วัน หากเห็นว่า “ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม” ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติที่ กกต.ประมาทอย่างร้ายแรงปล่อยผ่านมาเช่นนี้
ท้ายที่สุด กกต.ก็จำเป็นต้องประกาศ “ปล่อยผี” 12 แกนนำ นปช. หากยังยื้อไว้ ก็เชื่อว่าต้องมีผู้ร้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดำเนินคดีอาญาต่อทั้ง 5 กกต.ในไม่ช้านี้ ส่วนเรื่องปัญหาคุณสมบัติของผู้เป็น ส.ส.นั้น ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป เรียกว่า “ปล่อยก่อน สอยทีหลัง” นั่นเอง
และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 12 แกนนำ นปช.ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในภายหลัง กกต.ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ในการวินิจฉัยคุณสมบัติบกพร่อง หรือเรียกได้ว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะการทำหน้าที่อย่างไม่เด็ดขาดของตัวเอง
แม้จะรู้ตัวว่ามี “โทษทัณฑ์” รอคอยอยู่เบื้องหน้า แต่ในวันนี้ก็เชื่อว่า กกต.คงไม่อยากอุ้ม “เผือกร้อน” ไว้กับตัว เพราะหลังจากทำทีเป็น “ใจแข็ง” ไม่ปล่อย ส.ส.ไว้นับร้อยราย ที่รวมทั้ง “สายล่อฟ้า” อย่าง “ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์-12 โจกแดง” เพื่อวัดทิศทางลมตรวจกระแสของฝ่ายต่างๆมา 1 สัปดาห์เต็ม ก็พบ “สัจธรรม” ที่ว่า ตัวเองและพรรคพวก กกต.ทั้ง 5 คน ตกอยู่ในฐานะ “จำเลยสังคม” ที่ไม่อยากเห็นประเทศชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้
จนถูกยัดข้อหาเตรียมการใหญ่ “รัฐประหารทางกฎหมาย” เข้ามาอีก
สิ่งที่ทำได้ในวันนี้ก็ต้องรีบปัด “เผือกร้อน” ทิ้งให้พ้นตัว ปล่อยให้สถานการณ์เดินหน้าต่อไป อย่างน้อยผู้คนก็จะหันไปสนใจกับ “ช่วงตั้งไข่” ของ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แบ่ง “พื้นที่ข่าว” คืนให้กับการ “แย่งชามข้าว” วางตัวรัฐมนตรี แทนที่จะมาจดจ้องจดจ่อกับการทำหน้าที่ของ กกต.
เพราะที่ผ่านมาทำงาน “ไม่เอาอ่าว” จนเป็นเรื่อง ตอนนี้ขอแค่เบี่ยงเบนความสนใจ
เอาตัวรอดกันไปก่อน
จากที่ได้รับรองไป 358 รายเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะประเด็นร้อนๆอย่างการประทับตรารับรองให้ 2 ผู้นำพรรคการเมืองใหญ่ และ 12 แกนนำแนวประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
เบื้องต้นมีรายงานข่าวแจ้งว่า กกต.จะรับรองเพิ่มเติมในส่วนของ ส.ส.เขตได้อีก 40 จาก 126 คน ที่โดนแขวนอยู่ ขณะที่ในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นก็คาดการณ์กันว่า ทั้งในรายของ ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ มาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เบอร์ 1 ของ 2 ค่ายการเมืองใหญ่ จะได้รับการปลดปล่อยและตีตราให้เป็น ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 24 กับเขาด้วย
ในกรณีของ “ยิ่งลักษณ์” นั้นเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ กกต.จะประกาศรับรอง เพราะทั้งในเรื่องข้อห้ามของกฎหมายต่อผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ทั้งบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยไว้นั้นมีระบุถึงการไม่ให้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือในองค์กรอิสระ ห้ามตั้งพรรคการเมืองและเป็นกรรมการบริหารพรรค
ไม่ได้หมายรวมถึงในส่วนของการ “หาเสียง” ซึ่งกรณีนี้หมายถึง เจ๊แดง-เยาวภา และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวและพี่เขยของ “น้องปู” ที่ถูกร้องเรียนว่ามาช่วย “ยิ่งลักษณ์” หาเสียงแจกใบปลิวที่ จ.เชียงใหม่
รวมทั้งกฎและระเบียบของ กกต.ก็ไม่ได้ระบุมิให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองห้ามหาเสียงไว้อย่างชัดเจน
หรือแม้แต่ข้อกล่าวหาเรื่อง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นั้น ก็ไม่มีความชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดี ที่ปรากฎชื่อใน “ม็อตโต้” หาเสียงของพรรคเพื่อไทย ได้ออกแบบหรือเขียนนโยบายที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็สามารถอ้างได้ว่า “ทักษิณคิด” ไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนายกฯ และยังถือสัญชาติไทยอยู่ การนำมาใช้ในการเลือกตั้งหนนี้ก็เป็นเพียงการ “ต่อยอด” เท่านั้น
ขณะที่กรณีของ “อภิสิทธิ์” ก็เช่นกันที่ไม่ปรากฏความชัดเจนถึงการกระทำความผิด จากกรณีการสั่งการให้จัดงานมหกรรมลดค่าครองชีพประชาชน นำสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายในช่วงหาเสียง โดยเฉพาะการจำหน่ายใกล้หน่วยเลือกตั้งล่วงหน้าที่ จ.สมุทรปราการ จนเป็นสาเหตุของการถูกร้องเรียน โดยเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึง “มือกฎหมายชั้นอ๋อง” ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็สามารถแก้ต่างได้อย่างง่ายดาย โดยอ้างว่าโครงการดังกล่าว แม้จะเป็นมติคณะรัฐมนตรีจริง แต่ก็เป็นการอนุมัติในหลักการ ส่วนการดำเนินการนั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์
เพียงเท่านี้ทั้งคู่ก็สามารถดิ้นหลุดข้อกล่าวหาได้แบบไม่ยาก
ที่สำคัญหาก กกต.จะประกาศรับรองคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว ความกดดันจะถาโถมเข้าใส่ กกต.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เชื่อว่าไม่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของ กกต.ชุดนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากจะรับรอง “ยิ่งลักษณ์” ก็ต้องประกาศรับรอง “อภิสิทธิ์” ด้วย หรือหากปล่อย “อภิสิทธิ์” ก็ต้องพ่วงชื่อ “ยิ่งลักษณ์” ไปด้วย
แต่ในส่วนของ 12 แกนนำ นปช.ของพรรคเพื่อไทยนั้น อาจต้องรอคอยไปถึงรอบหน้า เพราะได้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนในส่วนของคุณสมบัติที่ถูกร้องเรียนเข้ามา แต่การพิจารณายังไม่แล้วเสร็จดี ที่สำคัญ กกต.บางคนยังกังวลว่าหากรับรอง 12 แกนนำ นปช.ออกไป อาจทำให้ตัวเองต้องถูกฟ้องร้องได้ ตามที่ภาคประชาชนหลายกลุ่มได้ยื่นคำร้องและขู่เอาไว้
ตรงนี้อย่าลืมว่า แท้จริงหากพิจารณาถึงข้อร้องเรียนที่ทำให้ 12 แกนนำ นปช.ถูกแขวนนั้นมาจากประเด็นเรื่อง “คุณสมบัติ” ที่ กกต.หมดอำนาจในการวินิจฉัยไปแล้วตั้งแต่ชั้นการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ที่สำคัญกฎหมายก็ให้อำนาจ กกต.ในการประกาศผลการเลือกตั้งแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งได้ภายใน 7 วัน หากเห็นว่า “ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม” ตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติที่ กกต.ประมาทอย่างร้ายแรงปล่อยผ่านมาเช่นนี้
ท้ายที่สุด กกต.ก็จำเป็นต้องประกาศ “ปล่อยผี” 12 แกนนำ นปช. หากยังยื้อไว้ ก็เชื่อว่าต้องมีผู้ร้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดำเนินคดีอาญาต่อทั้ง 5 กกต.ในไม่ช้านี้ ส่วนเรื่องปัญหาคุณสมบัติของผู้เป็น ส.ส.นั้น ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป เรียกว่า “ปล่อยก่อน สอยทีหลัง” นั่นเอง
และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 12 แกนนำ นปช.ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในภายหลัง กกต.ก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ในการวินิจฉัยคุณสมบัติบกพร่อง หรือเรียกได้ว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะการทำหน้าที่อย่างไม่เด็ดขาดของตัวเอง
แม้จะรู้ตัวว่ามี “โทษทัณฑ์” รอคอยอยู่เบื้องหน้า แต่ในวันนี้ก็เชื่อว่า กกต.คงไม่อยากอุ้ม “เผือกร้อน” ไว้กับตัว เพราะหลังจากทำทีเป็น “ใจแข็ง” ไม่ปล่อย ส.ส.ไว้นับร้อยราย ที่รวมทั้ง “สายล่อฟ้า” อย่าง “ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์-12 โจกแดง” เพื่อวัดทิศทางลมตรวจกระแสของฝ่ายต่างๆมา 1 สัปดาห์เต็ม ก็พบ “สัจธรรม” ที่ว่า ตัวเองและพรรคพวก กกต.ทั้ง 5 คน ตกอยู่ในฐานะ “จำเลยสังคม” ที่ไม่อยากเห็นประเทศชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้
จนถูกยัดข้อหาเตรียมการใหญ่ “รัฐประหารทางกฎหมาย” เข้ามาอีก
สิ่งที่ทำได้ในวันนี้ก็ต้องรีบปัด “เผือกร้อน” ทิ้งให้พ้นตัว ปล่อยให้สถานการณ์เดินหน้าต่อไป อย่างน้อยผู้คนก็จะหันไปสนใจกับ “ช่วงตั้งไข่” ของ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แบ่ง “พื้นที่ข่าว” คืนให้กับการ “แย่งชามข้าว” วางตัวรัฐมนตรี แทนที่จะมาจดจ้องจดจ่อกับการทำหน้าที่ของ กกต.
เพราะที่ผ่านมาทำงาน “ไม่เอาอ่าว” จนเป็นเรื่อง ตอนนี้ขอแค่เบี่ยงเบนความสนใจ
เอาตัวรอดกันไปก่อน