“ปานเทพ” ชี้ตัดสินตามสั่งเขมร แต่เพิ่มถอนทหารออกด้วย ยันไทยไม่ได้ประโยชน์ซ้ำปล่อยชาวแขมร์ยึดพื้นที่ต่อจนกว่าจะรื้อพิพากษาพระวิหารเสร็จ ระบุศาลโลกไม่มีอำนาจบังคับสยาม เหตุไม่ได้ต่ออายุปฏิญญายอมรับอำนาจตั้งแต่ปี 05 ย้ำไม่ต้องถอนทหารออก ซัดเอ็มโอยู 43 ทำเสี่ยง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (18 ก.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงคำตัดสินคุ้มครองพื้นที่พระวิหารของศาลอาญาระหว่างประเทศว่า การที่ศาลตัดสินเช่นนี้เหมือนกับเป็นการคุ้มครองชั่วคราวตามที่กัมพูชาร้องขอ แต่ได้เพิ่มอีก 1 ข้อ คือ ให้ทหารกัมพูชาถอนทหารด้วย สังเกตได้จากสัญญาณครั้งสุดท้ายของศาลโลกที่บอกให้ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชานำหลักฐานความเสียหายจากการปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่ายมาเป็นมูลฐานในการตัดสินใจว่าจะให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอนออกจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน เท่ากับทหารไทยจะต้องถอนออกจากแผ่นดินไทย ขณะที่กัมพูชาก็ต้องถอนออกจากแผ่นดินไทยด้วย เพียงแค่ข้อแรกฝ่ายไทยก็ไม่ได้ประโยชน์แล้ว และแม้หลายฝ่ายจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ให้พื้นที่ปลอดทหารทั้ง 2 ฝั่ง แต่ปัจจุบันมีพลเรือนชาวกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ เท่ากับการถอนทหารทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้ให้ทหารไทยไปผลักดันพลเรือนกัมพูชาออกจากพื้นที่ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรได้ จะต้องรอจนกว่าจะมีคำพิพากษาจากศาลโลกว่าพื้นที่รอบปราสาทนั้นเป็นของกัมพูชาหรือไม่ ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปี โดยในระหว่างนี้พลเรือนกัมพูชาก็สามารถทำอะไรก็ได้ หรือนักท่องเที่ยวที่มาจากกัมพูชาก็สามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ส่วนจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้นั้น ซึ่งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาเองก็ต้องการคาดหวังศาลโลกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยที่ฝั่งกัมพูชาหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองชั่วคราว และเป็นไปในลักษณะที่ไม่มีทหารไทยไปขักขวาง ผลักดันชุมชนของจากแผ่นดินไทย และเมื่อไทยไม่สามารถผลักดันได้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปปฏิบัติตามคำคุ้มครองเพราะฝ่ายไทยเคยไปชี้แจงไว้แล้วว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจในการพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งฝ่ายไทยก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ปฏิบัติตาม ทั้งนี้ นายสมปอง สุจริตกุล อดีตทนายความต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารปี 2505 เคยกล่าวไว้ว่า ในกรณีนี้เป็นกรณีใหม่ซึ่งเกิดขึ้นโดยศาลโลกเองจึงไม่อำนาจในการบังคับให้ฝ่ายไทยปฏิบัติตาม เพราะฝ่ายไทยไม่ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลโลก นับตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร เพราะฉะนั้นตนเชื่อว่าถ้าจะดำเนินการต่อไป ฝ่ายไทยจะเสียประโยชน์มากกว่า
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตนไม่เห็นด้วยกับการถอนทหารออกมา ซึ่งจะเป็นการยืนยันได้ว่าอธิปไตยของไทยอยู่ภายใต้อำนาจของศาลโลกในขณะที่เราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2505 เราจึงไม่ควรที่จะไปดำเนินการตาม การถอนกำลังก็เท่ากับว่าเราเสียเปรียบและจะถลำลึกมากไปกว่านี้ ส่วนฝั่งกัมพูชาก็ถือว่าได้กำไรจากพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นของเขามาก่อน ถ้าเล่นเกมหมากฮอสก็ถือว่าเข้าฮอสแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อคำพิพากษาพื้นที่ปราสาท โดยจะขยายเดิมของคำพิพากษาในปี 2505 ที่ตัดสินเฉพาะตัวปราสาท ซึ่งสถานการณ์นับจากนี้ ฝ่ายไทยก็จะต้องเลือกระหว่างยอมรับอำนาจศาลโลก กับไม่ยอมรับอำนาจ โดยถ้าไม่ยอมรับก็ต้องแสดงให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าเป็นผลมาจากเอ็มโอยู 43 กำลังเป็นเครื่องมือที่เรากำลังเสี่ยงเกินไปแล้ว ที่เวทีมรดกโลกนึกว่าจะป้องกันได้ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้มาตรการถอนตัว ขณะที่ในศาลโลกก็นึกว่าจะทำให้ศาลไม่มาข้องเกี่ยวและให้ไปเจรจา แต่กลับถูกแทรกแซงได้ และให้ไทยถอนจากแผ่นดินตัวเอง ในสถานการณ์นี้ทันทีที่ไม่มีทหารกัมพูชาก็อาศัยหลักพลเรือนเข้าไปบริหารจัดการในพื้นที่ ก็ทำให้ไทยเสียเปรียบโดยทันที ทั้งนี้ ตนเห็นว่าไทยจะต้องออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการและหากไทยยอมรับอำนาจศาลโลกก็จะกลับไปสู่สถานการณ์เดิม