xs
xsm
sm
md
lg

“พิชาย” เตือน “ทักษิโณมิกส์” คืนชีพ รัฐบาลอาจต้องขายแผ่นดินหาเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พิชาย” เตือน “ทักษิโณมิกส์” คืนชีพ รัฐบาลเตรียมหารายได้เข้าคลังจากธุรกิจอบายมุขเพราะหาได้ง่ายสุด เผยทุกวันนี้ภาคใต้มีการขายที่ดินให้ต่างชาติผ่านนอมินี คาดรัฐบาลอาจใช้วิธีขายแผ่นดินนี้เพื่อให้ได้เงินมาก็ได้ โอดประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นโทษของประชานิยม หรือต้องให้เกิดวิกฤตก่อนถึงจะสำนึก ด้าน “ณรงค์” เชื่อนโยบายเพื่อไทยทำได้หมด เพื่อโชว์ความสามารถ แต่อนาคตเละแน่
        


เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 11 ก.ค. ในรายการ “คนเคาะข่าว” รศ.ดร.พิชาย รัตนะดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดี คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (นิด้า) และ ดร.ณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจอิสระ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมพูดคุยในรายการถึงประเด็นนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นห่วงกันว่าทักษิโณมิกส์กำลังจะคืนชีพ
        

นายพิชายกล่าวว่า นโยบายทักษิโณมิกส์จะเน้นบริโภคนิยม เมื่อรัฐบาลใช้จ่ายเงินไปกับนโยบายนี้จำนวนมาก ก็ต้องหาเงินเข้าคลัง ก็คงไม่พ้นนโยบายเดิมๆคือส่งเสริมให้ชาวบ้านเล่นการพนัน ให้ชาวบ้านมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเกี่ยวข้องกับอบายมุข การกิน การเที่ยว สินค้าฟุ่มเฟือย เช่นในอดีตชาวย้านกู้กองทุนหมู่บ้านเพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์ ซื้อมือถือ ซึ่งเกิดขึ้นแน่เพราะเคยเกิดแล้ว
        

อีกทั้งทักษิโณมิกส์ เน้นก่อหนี้เป็นหลัก กระตุ้นให้ประชาชนเป็นหนี้ อย่างบัตรเครดิตที่จะให้เกษตรกร นึกภาพชาวนามีบัตรเครดิตขึ้นมาถ้าถึงเวลาไม่ชำระหนี้ก็จะเกิดปัญหา เมื่อคนจ่ายง่ายสินค้าราคาเพิ่มก็จะเกิดเงินเฟ้อ ที่เชื่อมโยงอีกอย่างคือให้พึ่งพานักการเมือง พรรคการเมือง เพราะอยู่ภายใต้สโลแกนประชานิยม ไม่คิดที่จะพึ่งตนเอง อันนี้เป็นความปรารถนา เพราะควบคุมประชาชนได้ง่าย
        

รัฐบาลนี้แม้ดูหลักการดีเรื่องที่จะลงทุนต่างประเทศ แต่ลองนึกภาพดูถ้าไทยค่าแรงสูง สินค้าเกษตรก็สูง จะเอาใครมาลงทุน สินค้าเกษตร 15,000 บาทต่อเกวียน จะขายแข่งกับใคร มีปัญหาแน่ พอหาเงินไม่ได้ก็ หวย คาสิโน โต๊ะบอล แต่สวัสดิการนิยมจะไม่แตะ เช่นปฏิรูปภาษี เพราะจะกระทบฐานเสียงคะแนนนิยมทันที เขาจะไม่ทำ

เมื่อภาคการผลิตก็ไม่มีการพัฒนา การลงทุนทางด้านการศึกษาก็ไม่ถูกทาง อย่างที่ผ่านมาให้ทุน1 ทุน 1 อําเภอ ก็เป็นการพัฒนาเป็นคนๆ ไม่ได้พัฒนาทั้งระบบ ตั้งแต่ปี 44 คุณภาพเด็กไทยต่ำลง ตั้งแต่นายทักษิณเข้ามา อีกอย่างที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือต้องกู้เงิน อาจจะจากต่างประเทศ หรือจากในประเทศด้วยการออกพันธบัตร หรือขายทรัพย์สินของชาติเช่นรัฐวิสาหกิจ นี่คือหลัก ๆ ที่จะเกิดขึ้น
        

นายณรงค์กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์ไม่ได้คืนชีพ เพราะทุกวันนี้ทุกพรรคก็เป็นทักษิโณมิกส์หมด ประชานิยมหมด ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่ กกต.ไม่จัดการ พรรคอื่นเลยทำตามกันหมด เป็นการทำลายระบบการเมืองทั้งหมด ต่อไปจะไม่มีนโยบายอื่น นักการเมืองไม่ต้องลงทุนเพราะทั้งหมดนี้คือเงินประชาชน ถ้าปัญหานี้ไม่ถูกจัดการ การเลือกตั้งไม่มีประโยชน์เลย

นายพิชายกล่าวเสริมว่า กกต.ตีความว่าตรงนี้เป็นนโยบาย แต่จะผิดต่อเมื่อสัญญาเป็นตัวบุคคล เช่น สัญญาว่าจะสร้างถนนให้หมู่บ้านนี้ ถ้าเลือก ส.ส.คนนี้ แต่ประกาศไปทั้งประเทศไม่ผิด แต่ถ้าแค่หมู่บ้านเดียวผิด นี่คือการตีความของ กกต.
        
นายณรงค์กล่าวอีกว่า การขึ้นค่าแรงหากเป็นธุรกิจผูกขาดไม่ต้องแข่งขัน เขาก็ถ่ายค่าแรงนี้ไปเป็นราคาสินค้าผลักภาระให้ผู้บริโภค แต่ถ้าเป็นธุรกิจแข่งขันจะมีปัญหา นักธุรกิจที่ไม่เคารพกฎหมายก็จะไม่จ่ายตามนี้ เป็นการผลักคนให้ทำผิดกฎหมาย
        

การขึ้นค่าแรงนั้น แค่ไม่เอาแรงงานต่างด้าวเข้ามา เมื่อขาดแรงงานค่าแรงก็สูงขึ้นเอง และเอาเครื่องจักรเครื่องกลมาแทนแรงงานเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อชิ้น แต่ไปเอาต่างด้าวมาซึ่งส่วนใหญ่ไม่จ่ายเท่าคนไทย คนก็จะแห่ไปจ้างแรงงานต่างด้าวคนไทยก็ตกงาน ตนไม่เห็นตรรกะอะไรเลยที่ขึ้นค่าแรงอย่างนี้ แล้วให้ต่างด้าวเข้ามา
        

นายพิชายกล่าวว่า การขายทรัพย์สินของชาติ อย่างรัฐวิสาหกิจจะมีแรงต้านเยอะ แต่ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ วันนี้ไทยค่าเงินบาทแข็ง ส่วนหนึ่งมาจากที่สังคมเราขายที่ดินภายใต้นอมินีให้ชาวต่างชาติ อย่างทางที่ดินทางภาคใต้มีการสร้างเป็นบ้านๆให้พวกต่างชาติเช่าซื้อระยะยาว เพื่อมาใช้ชีวิตในเมืองไทยเพราะค่าครองชีพต่ำ เงินพวกนี้ไหลเข้าไทยเยอะ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ค่าบาทแข็ง ถ้ารัฐบาลต้องการรายได้ อาจส่งเสริมการขายแผ่นดิน ภายใต้ฉากส่งเสริมการท่องเที่ยว
        

นายพิชายกล่าวอีกว่า หากรัฐบาลหาเงินด้วยวิธีการกู้ มันไม่ใช่รายได้ที่ยั่งยืน ต่อไปก็จะไม่มีเงินจ่าย สมมติเบี้ยวหนี้ เครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศก็ลดลง และพาไปสู่ความล้มเหลวของประเทศ แต่ถ้าเบี้ยวสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ก็ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาล ก็จะถูกแรงกดดันจากประชาชนกลุ่มต่างๆ
        

นายณรงค์กล่าวเสริมว่า แต่ตนคิดว่านโยบายส่วนใหญ่น่าจะทำได้ เพราะสมัยไทยรักไทยก็ทำ 30 บาทรักษาทุกโรคได้ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะรักษาหาย คิดว่าจะทำเครดิตชาวนา เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทได้ แต่ทั้งหมดนี้ส่งผลเงินเฟ้อแน่นอน สุดท้ายคนได้ประโยชน์คือคนกลุ่มเล็กๆที่จบมาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยก็ได้ 15,000 บาท แต่ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับภาระอันนี้ คือสินค้าแพงขึ้นหมด ข้าวราคาเกวียนละ 15,000 บาทก็ทำได้ แต่ไม่ทั่วถึง ที่เหลือส่วนใหญ่คงเอาเข้ากระเป๋านักการเมือง โรงสี
        

เขาทำได้โดยไม่คำนึงถึงปัญหาในวันข้างหน้า ไม่เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันก็ทำได้ แต่ถ้าราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงในอนาคตก็จะขาดเงินมาอุดหนุนตรงนี้ อนาคตช่างมัน ถ้าตนเป็นรัฐบาลก็เอาคำมั่นสัญญาไว้ก่อน เพื่อโชว์ว่ามีความสามารถ ส่วนประชาชนก็ไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง นี่คืออันตรายของประเทศในระยะยาว
        

จากนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้โฟนอินเข้ารายการ แสดงความคิดเห็นว่า บัตรเครดิตชาวนาของพรรคเพื่อไทย ไม่น่าจะเหมือนบัตรเครดิตทั่วไป แต่คือแผนสถาปนาทาสติดที่ดินยุคใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านเป็นหนี้กับบริษัทชาวนาไทยที่พรรคเพื่อไทยตั้งขึ้น จะได้ครอบงำชาวบ้านไปตลอด
        

นายพิชายกล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างที่นายสนธิพูดจะน่ากลัวมาก เพราะเป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์ใหม่ภายใต้การครอบงำของกลุ่มทุน ชาวนาจะไปไหนไม่ได้เลย เหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกครอบงำโดยบริษัทชาวนาไทย บริษัทนี้ก็บงการความคิดสมาชิกได้ ควบคุมปัจจัยการผลิตทั้งหมด

ส่วนหนึ่งบริษัทในการปลูกข้าวอาจเป็นของเอกชน แต่บริษัทชาวนาจะเอาชาวนาทุกครัวเรือนเข้ามาเป็นสมาชิก มันจะเกิดปรากฏการณ์ที่ชาวนาเป็นทาส ถูกชี้นำ โดยผู้บริหารบริษัท หรือนักการเมืองที่คุมบริษัทนี้ ถ้ายิ่งขยายไปสู่เครื่องอุปโภคบริโภคยิ่งหนัก มันจะทำลายทุนท้องถิ่นเกือบทั้งหมดให้ชาวนาขึ้นตรงต่อเขาเท่านั้น อันนี้ก็เป็นไปได้เพราะนายทักษิณก็เคยทำลายกลไกหัวคะแนนที่ขึ้นอยู่กับ นักการเมืองท้องถิ่น ให้ขึ้นกับเขาเอง และส่งมวลชนท้องถิ่นลงไปตอกย้ำทันที ปัจจุบันนักการเมืองท้องถิ่นหมดบทบาทไปโดยปริยาย ขึ้นอยู่กับการสั่งการของนายทักษิณ มันจะเข้าอิหรอบเดียวกันกับกรณีนี้

นายณรงค์กล่าวว่า ที่นายสนธิพูดก็อาจเป็นไปได้ แต่ตนมองอีกภาพหนึ่งคือทุกวันนี้สหกรณ์ของราชการก็มีเครดิต แต่พอถึงเวลาเงินเดือนออกก็หักเงินไปเลยแล้วก็มากู้ต่อ เป็นหนี้ตลอดชีวิต อาจจะเป็นวิธีนี้ หรือนายทุนท้องถิ่นตกเขียว ชาวนาซื้อของไปก่อน พอผลผลิตออกมาก็ต้องใช้หนี้ไม่ได้รับเงินเลย ทั้งหมดนี้คือระบบอุปถัมภ์ สร้างหนี้มหาศาล โดยนักการเมืองมองว่าการที่ชาวนาเป็นหนี้จะเข้าไปควบคุมได้ง่าย พอจะเลือกตั้งก็เสนอนโยบายจะยกหนี้ให้ จะพักดอกเบี้ยให้ ยิ่งหนี้มากก็ยิ่งคุมได้เยอะ
        

นายพิชายกล่าวว่า เหมือนไปรวบรวมทุนท้องถิ่นให้มาอยู่ใต้สังกัดของบริษัทอันนี้ เหมือนเคยรวบรวมพรรคการเมืองให้มาอยู่ใต้สังกัดเดียวกัน ถ้าทำได้จริง ตอนนี้พรรคนี้มีกลไกมวลชนจัดตั้งเสื้อแดงเรียบร้อยแล้ว ถ้าสามารถทำบริษัทชาวนาได้จะคุมกลไกเศรษฐกิจของประเทศได้หมดเลย จะเห็นเลย 2 ขา คือ มวลชนที่มีอำนาจ และเศรษฐกิจรากฐาน ยิ่งสร้างความแข็งแกร่งให้พรรคนี้ ประชาชนจะอ่อนแอมาก ต้องพึ่งพาตลอด
        

คนจำนวนมากยังมองไม่เห็นว่าประชานิยมจะเป็นปัญหา ต้องใช้เวลาพอสมควร หรืออาจต้องเกิดวิกฤตก่อน ประชาชนถึงจะสำนึก ซึ่งก็มีต้นทุนที่ต้องเสียไปสูงมาก
        



กำลังโหลดความคิดเห็น