xs
xsm
sm
md
lg

เกมเสี้ยมของ “ฝ่ายแค้น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภายหลังจากทราบผลการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 ที่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะไม่กี่วัน ก็ได้เกิด “ปฏิบัติการสายฟ้าแลบ” เมื่อเจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานสนธิกำลังเข้าทำการตรวจค้นจับกุมและยึดเครื่องส่งสถานีวิทยุชุมชนที่ถูกร้องเรียนรวม 6 แห่ง ใน จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 6ก.ค.ที่ผ่านมา

โดย 2 ใน 6 แห่งดังกล่าวทราบกันดีว่า เป็นสถานีวิทยุของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) จ.นครราชสีมา ส่วนใหญ่เป็นการถ่ายทอดรายการจากสถานีโทรทัศน์ ASTV ส่วนอีก 4 สถานีเป็นสถานีวิทยุของกลุ่มคนเสื้อแดง

ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียวเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ก็มีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบสังกัดได้นำกำลังเข้าตรวจค้น และยึดเสาเครื่องส่งสัญญาณเสียงของสถานีวิทยุชุมชนคลื่นปกป้องสถาบัน คลื่น 90.25 ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นสถานีวิทยุแห่งนี้ อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย

โดยข่าวดังกล่าวเป็นการเปิดเผยจาก บุญยอด สุขถิ่นไทย ว่าที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของฉายา “เตี้ยหมาตื่น” ที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทยที่เพิ่งได้เข้ามาเป็นรัฐบาลได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมงก็เริ่มปฏิบัติการสั่งปิด คุกคามสื่อมวลชนที่ไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง พร้อมถามด้วยว่า นี่หรือแนวทางที่ประกาศว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้น

และเมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ 6 ก.ค.ในการปิด 6 สถานีวิทยุที่มีสถานีของกลุ่มพันธมิตรฯ โคราชขึ้นมาอีก ทำให้ถูกมองว่าปฏิบัติการครั้งนี้มี ใบสั่ง จากพรรคเพื่อไทย ที่กำลังจะเข้ามากุมอำนาจฝ่ายบริหาร

ทำให้เกิดภาพว่า ยังไม่ทันไรพรรคเพื่อไทยก็ “ลุแก่อำนาจ” เสียแล้ว

แต่อย่าลืมว่า พรรคเพื่อไทย อยู่ในสถานะ “ว่าที่แกนนำรัฐบาล” เท่านั้น ยังไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ เพราะอำนาจต่างๆยังอยู่ในมือของ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านความมั่นคง ก็ยังอยู่ในความดูแลของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญสถานีวิทยุที่ถูกตรวจค้นมีทั้งวิทยุเหลือง-แดง-น้ำเงิน

จึงดูเหมือนมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น และเมื่อไล่เรียงดูหน่วยงานหลักที่เข้าปฏิติบัติการก็พบว่าเป็น “ขาประจำ” อย่าง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ที่มีบทบาทสำคัญในการปิดสื่อที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีให้หลังของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งยังปรากฏชื่อ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รอง ผบช.ก. เป็นผู้คุมกำลังอีกด้วย หากมองผิวเผินก็อาจคิดว่า พล.ต.ต.ศรีวราห์ ปฏิบัติการครั้งนี้เพื่อหวัง “เชลียร์” ขั้วอำนาจใหม่ตามสไตล์ตำรวจที่ถนัดสนองงานฝ่ายการเมือง

แต่หากพิเคราะห์ “ร่องรอย”ความเป็นมาของนายตำรวจใหญ่ผู้นี้ที่มีเส้นทางเจริญก้าวหน้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น นรต.35 เพราะมีโอกาสได้สนิทสนมกับพล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.รวมทั้ง พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งมีความใกล้ชิดกับพรรคภูมิใจไทย กลาย 1 ในขบวนการ “ยี้ห้อยคอนเนกชัน” ในที่สุด

ก่อนจะมาเป็นมือไม้ให้กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนมีผลงานชิ้นโบว์แดงฝนการไล่บี้วิทยุเสื้อแดง เมื่อช่วงการชุมนุมปี 52 จนเกือบได้รับการปูนบำเหน็จให้ขึ้นชั้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) แต่ถูกสกัดดาวรุ่งโดย “โจทก์เก่า” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่ทำหนังสือร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ให้ระงับการเลื่อนตำแหน่งดังกล่าว ทำให้ พล.ต.ต.ศรีวราห์ ต้องย่ำอยู่ในตำแหน่ง รอง ผบช.ก.ต่อไป

ซึ่งการโยกย้ายครั้งนั้นก็ได้รับการผลักดันจากนายสุเทพ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) นั่นเอง

“ร่องรอย” เหล่านี้คือ ความเชื่อมโยงที่ “แน่นปึ้ก” อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และอย่าลืมว่า พล.ต.ต.ศรีวราห์ ยังอยู่ในฐานะ “ศัตรู” ตัวฉกาจของคนเสื้อแดง กับผลงานล่าสุดเมื่อครั้งบุกปิดวิทยุเสื้อแดง 10 กว่าสถานี เมื่อเดือน เม.ย.54 ที่ผ่านมา ซึ่งยังคงตราตรึงใจคนเสื้อแดง และเป็นเรื่องราวฟ้องร้องกันจนบัดนี้

การจะมองว่า พล.ต.ต.ศรีวราห์เริ่มปฏิบัติภายหลังผลการเลือกตั้งออกมาไม่นาน เพราะต้องการ “เชลียร์”และเปลี่ยนขั้วนั้น จึงเป็นการมองเพียงผิวเผิน เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าอำนาจการสั่งการยังอยู่ในมือนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ในฐานะ ประธานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง

และยิ่งจับพิรุธได้จากการออกมา “ร้องแรกแหกกระเฌอ” ของนายบุญยอด ที่พยายาม “ชี้นำ” ว่าเป็นฝีมือของพรรคเพื่อไทยที่ “ลุแก่อำนาจ” หวังชนะเลือกตั้งไม่ถึง 48 ชั่วโมง กล่าวได้ว่าเป็นความพยายาม “สมคบคิด” เพื่อสร้างเรื่องฉายภาพซ้ำการคุกคามสื่อของ “ระบอบทักษิณ” ให้กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

โดยจงใจที่จะเล่นงานภาคประชาชนกลุ่มต่างๆให้เกิดแรงต่อต้านเป็นความขัดแย้งขึ้น มีจุดประสงค์ต้องการ “เสี้ยม” ให้เกิดการปะทะขึ้นนั่นเอง โดยหวังผลประโยชน์ทางการเมืองให้แก่ฝ่ายพรรคต้นสังกัดตัวเอง หลังพ่ายหมดรูปในสนามเลือกตั้ง

อย่างนี้ไม่ใช่เตรียมเป็น “ฝ่ายค้าน” แต่เป็น “ฝ่ายแค้น” มากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น