กกต.เผยยังสรุปผลการเลือกตั้งไม่ได้ เหตุแม่ฮ่องสอน ตาก ฝนตกรายงานผลไม่ทัน ต้องเลื่อนประกาศผลเลือกตั้งเป็นวันที่ 5 ก.ค. เบื้องตั้นพบลำพูนมีผู้ใช้สิทธิมากสุด ร้อยละ 88.61 ยะลามีบัตรเสียเยอะสุด ส่วนโหวตโนแบบเขต ร้อยละ 4.04 แบบบัญชีรายชื่อร้อยละ 2.70 สำหรับยอดคัดค้านผลการเลือกตั้ง มี 195 เรื่อง
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ในขณะนี้ผลการนับคะแนนเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศครบถ้วน เหลือเพียงรายงานผลการรับรองคะแนนจากผอ.กกต.ประจำหน่วยแต่ละจังหวัด ซึ่งมีพื้นที่อย่างแม่ฮ่องสอนและตาก ที่การรายงานผลการนับคะแนนต้องมีการลำเลียงมาโดยเฮลิคอปเตอร์เนื่องจากสภาพอากาศที่ยังมีฝนตกหนัก ประกอบกับภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น คาดว่าผลการเลือกตั้งจะถูกส่งมายังกกต.ส่วนกลางได้ในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ (5 ก.ค.) ส่วนจังหวัดอื่นๆ ไม่น่าจะมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ผลของการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ ทาง กกต.ส่วนกลางกำลังรอผลการนับคะแนนและการรับรองจากผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำแต่ละจังหวัด ส่งรายงานเข้ามา เพื่อที่จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และรับรองผู้สมัคร ส.ส.ในเขตที่ไม่มีเรื่องราวร้องเรียนได้ต่อไป
สำหรับภาพรวมการเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศ มีบัตรเสียแบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็นร้อยละ 4.86 แบบแบ่งเขต คิดเป็นร้อยละ 5.74 ทำให้บัตรเสียแบบแบ่งเขตมีจำนวนมากกว่าแบบบัญชีรายชื่อ
นายสุทธิพลกล่าวว่า จังหวัดที่มีผู้ที่มาใช้สิทธิการเลือกตั้งมากที่สุดคือ ลำพูน แบ่งเป็นแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 88.61 ส่วนจังหวัดที่มีบัตรเสียในการเลือกตั้งมากที่สุด ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา แบ่งเป็นบัตรเสียแบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 6.77 แบบแบ่งเขต ร้อยละ 10.37, ปัตตานี แบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 6.52 แบบแบ่งเขต ร้อยละ 9.27 และนราธิวาส แบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 6.34 แบบแบ่งเขต ร้อยละ 8.18 ขณะที่บัตรเสียที่มีจำนวนน้อยที่สุดคือ ปทุมธานี แบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 2.91 และแบบแบ่งเขต ร้อยละ 4.91
เลขาธิการ กกต.เผยว่า สาเหตุของการเกิดบัตรเสีย วิเคราะห์ว่าเกิดได้จาก 4 สาเหตุ คือ 1.บางพรรคการเมืองส่งผู้สมัครในแบบบัญชีรายชื่ออย่างเดียว ไม่มีการส่งแบบเขต ดังนั้น ประชาชนจึงเลือกกากบาททั้ง 2 ใบ ทำให้บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต กลายเป็นบัตรเสียทันที 2. ประชาชนที่ไม่ประสงค์จะออกเสียง กลัวที่จะกลายเป็นบุคคลที่ประสงค์จะโหวตโน 3. การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สูงอายุ และผู้พิการทางด้านร่างกาย ทำให้การกากบาทหรือการทำเครื่อหมาย ในหมายเลขที่ต้องการ อาจมีความคลาดเคลื่อน หรือเป็นเครื่องหมายที่ผิด ทำให้เป็นบัตรเสียด้วยเช่นกัน
ส่วนยอดรวมของการโหวตโน คิดเป็นแบบแบ่งเขต ร้อยละ 4.04 แบบบัญชีรายชื่อ ร้อยละ 2.70 4.เกิดจากปัญหาประชาชนที่อาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีความรู้ด้านภาษาไทยหรือภาษายาวี จนส่งผลทำให้การเลือกพรรคและผู้สมัคร ส.ส.กลายเป็นบัตรเสียจำนวนมาก แต่สรุปภาพรวมมีบัตรเสียในแบบแบ่งเขตมากกว่าแบบบัญชีรายชื่อ อีกทั้งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา บัตรเสียมีอยู่ในเกณฑ์ที่พอๆ กัน คิดเป็นร้อยละ 4-5 ดังนั้นจึงเป็นยอดที่ใกล้เคียงกัน
นายสุทธิพลกล่าวต่อว่า สรุปเรื่องการร้องเรียนคัดค้านการเลือกตั้ง ล่าสุดอยู่ที่ 195 เรื่อง ซึ่งแบบเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 53 วรรค 5 การใส่ร้ายป้ายสีผู้สมัคร ส.ส.จำนวน 69 เรื่อง การหาเสียงด้วยรูปแบบที่ผิด 32 เรื่อง การแจกเงินซื้อสิทธิขายเสียง จำนวน 53 เรื่อง เจ้าหน้ารัฐวางตัวไม่เป็นกลาง จำนวน 31 เรื่อง และมีการจัดเลี้ยงงานสังสรรค์ 10 เรื่อง
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกไซเบอร์ เรื่องการที่เลขาธิการ กกต.มีการไปช่วยเหลือผู้พิการในการเลือกตั้งนั้น นายสุทธิพลกล่าวว่า การกระทำดังกล่าว กกต.ไม่ได้สร้างภาพ แต่เป็นการช่วยเหลือผู้พิการ ผู้สูงอายุ และมีการทำมาโดยตลอด กฎ กติกา มีการปรับปรุง เพื่อสอดรับกับเจตนาที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับคนกลุ่มนี้ โดยได้มีการหยิบรูปต่างๆ มาโชว์ พร้อมกับบรรยายถึงความเป็นจริงว่าการช่วยเหลือผู้พิการในการเลือกตั้งนั้น ทุกอย่างยังคงเป็นความลับ ตามประมวลของกฎหมาย เจ้าหน้าที่ กกต.ไม่สามารถรับรู้หรือชี้นำผู้มีสิทธิเหล่านี้ได้