“ชาติชาย” ลงหาเสียงอุบลฯ ชี้ พรรคขั้วที่ 3 สำคัญที่สุดเข้าร่วมรัฐกับพรรคไหน ยันพรรคไม่มีเงื่อนไข แต่ขอคุยแก้อะไรอันดับแรก ชู 3 นโยบายต้องทำได้ ชี้รัฐใหม่แก้ขัดแย้ง เศรษฐกิจไม่ได้ใน 6 เดือนอยู่ไม่ยืดแน่ ฟันธงคว้า 30 เก้าอี้ขึ้นชัวร์ แนะนายกฯใหม่ต้องครบเครื่อง ทำตามคำพูด
วันนี้ (1 ก.ค.) ที่ จ.อุบลราชธานี นายชาติชาย พุคยาภรณ์ ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับ นายมนตรี ฐิรโฆไท ทีมเศรษฐกิจของพรรค และ นายภราดร ศรีชาพันธุ์ รองโฆษกพรรค ลงหาเสียงในพื้นที่ อ.โพธิ์ไทร อ.เขมราฐ อ.นาตาล เพื่อช่วยนายอุดร ทองประเสริฐ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 จ.อุบลราชธานี ของพรรค
โดย นายชาติชาย ให้สัมภาษณ์ระหว่างหาเสียงว่า หากผลเลือกตั้งออกมาว่า พรรคใหญ่ 2 พรรค ได้จำนวน ส.ส.รวมกัน 400 ที่นั่ง โดยไม่มีพรรคไหนได้ถึง 250 ที่นั่ง จะทำให้พรรคขั้วที่ 3 มีความสำคัญต่อการเกิดความเปลี่ยนแปลง ปัญหาคือ 2 พรรคใหญ่จะได้ ส.ส.เท่าไร ทั้งนี้ หากพรรคขั้วที่ 3 เข้าร่วมรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหาของประเทศชาติ คือ ความสงบสุขของบ้านเมือง และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ซึ่งต้องกำหนดนโยบายดังกล่าวให้ชัดภายใน 3 เดือน
เมื่อถามว่า หากพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน จะมีเงื่อนไขพิเศษใดหรือไม่ นายชาติชาย กล่าวว่า คงไม่มีเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องคุยกันว่าจะแก้ไขปัญหาของประเทศอะไรเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ หากพรรคได้เข้าร่วมรัฐบาลก็คงมีนโยบาย 3 เรื่องที่คิดว่ารัฐบาลควรเร่งแก้ไขคือ 1.ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ 2.พัฒนาระบบสาธารณสุข และ 3.ระบบการศึกษา โดยให้ได้เรียนฟรีจริง 19 ปี
เมื่อถามว่า ห่วงเรื่องความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่หรือไม่ นายชาติชาย กล่าวว่า ผลเลือกตั้งเป็นฉันทามติที่ประชาชนต้องการให้เป็น ทุกฝ่ายต้องยอมรับ แต่ความกังวลยังคงมีอยู่ถ้ารัฐบาลที่เข้ามาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง และเศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ตั้งแต่ต้น ถ้าแก้ไม่ได้ภายใน 3-6 เดือน อาจอยู่ไม่ยืด ทำให้ความกังวลต่างๆอาจเกิดขึ้นจริงได้ ในส่วนของตัวเลข ส.ส.ของพรรคที่คาดการณ์ว่าจะได้ 20 - 25 เสียงนั้น จากการลงพื้นที่ที่ผ่านมา ตนก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะได้ 25 ที่นั่งแน่นอน ส่วน ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อเชื่อว่าจะได้ถึง 5-6 ที่นั่ง
เมื่อถามถึงคุณสมบัติของผู้นำประเทศควรเป็นอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ นายชาติชาย กล่าวว่า นายกฯคนใหม่ก็ต้องครบเครื่อง คือ มีความสามารถทั้งด้านเศรษฐกิจ และรัฐศาสตร์ เป็นผู้นำทางอาเซียนได้ และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งทั้งแคนดิเดตจาก 2 พรรคใหญ่ ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ต่างคนต่างมีจุดเด่นและจุดแตกต่างกัน ได้พิสูจน์ความสามารถในบทบาทของตัวเองมาแล้ว และรอการพิสูจน์ในระดับประเทศต่อไป ซึ่งสิ่งสำคัญนายกฯคนใหม่ที่เข้ามาทำงาน ต้องทำได้อย่างที่พูด ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกทวงถามจากประชาชน ว่า ทำไมไม่ทำตามที่สัญญาไว้ ซึ่งการทวงถามก็เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดการกระตือรือร้นที่ต้องผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง
วันนี้ (1 ก.ค.) ที่ จ.อุบลราชธานี นายชาติชาย พุคยาภรณ์ ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ร่วมกับ นายมนตรี ฐิรโฆไท ทีมเศรษฐกิจของพรรค และ นายภราดร ศรีชาพันธุ์ รองโฆษกพรรค ลงหาเสียงในพื้นที่ อ.โพธิ์ไทร อ.เขมราฐ อ.นาตาล เพื่อช่วยนายอุดร ทองประเสริฐ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 จ.อุบลราชธานี ของพรรค
โดย นายชาติชาย ให้สัมภาษณ์ระหว่างหาเสียงว่า หากผลเลือกตั้งออกมาว่า พรรคใหญ่ 2 พรรค ได้จำนวน ส.ส.รวมกัน 400 ที่นั่ง โดยไม่มีพรรคไหนได้ถึง 250 ที่นั่ง จะทำให้พรรคขั้วที่ 3 มีความสำคัญต่อการเกิดความเปลี่ยนแปลง ปัญหาคือ 2 พรรคใหญ่จะได้ ส.ส.เท่าไร ทั้งนี้ หากพรรคขั้วที่ 3 เข้าร่วมรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหาของประเทศชาติ คือ ความสงบสุขของบ้านเมือง และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ซึ่งต้องกำหนดนโยบายดังกล่าวให้ชัดภายใน 3 เดือน
เมื่อถามว่า หากพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน จะมีเงื่อนไขพิเศษใดหรือไม่ นายชาติชาย กล่าวว่า คงไม่มีเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล แต่ต้องคุยกันว่าจะแก้ไขปัญหาของประเทศอะไรเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ หากพรรคได้เข้าร่วมรัฐบาลก็คงมีนโยบาย 3 เรื่องที่คิดว่ารัฐบาลควรเร่งแก้ไขคือ 1.ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ 2.พัฒนาระบบสาธารณสุข และ 3.ระบบการศึกษา โดยให้ได้เรียนฟรีจริง 19 ปี
เมื่อถามว่า ห่วงเรื่องความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นหลังมีรัฐบาลใหม่หรือไม่ นายชาติชาย กล่าวว่า ผลเลือกตั้งเป็นฉันทามติที่ประชาชนต้องการให้เป็น ทุกฝ่ายต้องยอมรับ แต่ความกังวลยังคงมีอยู่ถ้ารัฐบาลที่เข้ามาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง และเศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ตั้งแต่ต้น ถ้าแก้ไม่ได้ภายใน 3-6 เดือน อาจอยู่ไม่ยืด ทำให้ความกังวลต่างๆอาจเกิดขึ้นจริงได้ ในส่วนของตัวเลข ส.ส.ของพรรคที่คาดการณ์ว่าจะได้ 20 - 25 เสียงนั้น จากการลงพื้นที่ที่ผ่านมา ตนก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะได้ 25 ที่นั่งแน่นอน ส่วน ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อเชื่อว่าจะได้ถึง 5-6 ที่นั่ง
เมื่อถามถึงคุณสมบัติของผู้นำประเทศควรเป็นอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ นายชาติชาย กล่าวว่า นายกฯคนใหม่ก็ต้องครบเครื่อง คือ มีความสามารถทั้งด้านเศรษฐกิจ และรัฐศาสตร์ เป็นผู้นำทางอาเซียนได้ และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งทั้งแคนดิเดตจาก 2 พรรคใหญ่ ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ต่างคนต่างมีจุดเด่นและจุดแตกต่างกัน ได้พิสูจน์ความสามารถในบทบาทของตัวเองมาแล้ว และรอการพิสูจน์ในระดับประเทศต่อไป ซึ่งสิ่งสำคัญนายกฯคนใหม่ที่เข้ามาทำงาน ต้องทำได้อย่างที่พูด ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกทวงถามจากประชาชน ว่า ทำไมไม่ทำตามที่สัญญาไว้ ซึ่งการทวงถามก็เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดการกระตือรือร้นที่ต้องผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง