xs
xsm
sm
md
lg

“หมอประเวศ” เสนอ 10 ข้อนายกฯ ใหม่ควรทำ ชี้ไทยเสี่ยงเกิดมิคสัญญีกลียุค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศ.นพ.ประเวศ วะสี
“หมอประเวศ” แนะสิ่งที่นายกฯคนใหม่ควรทำ 10 ประการ ชี้สังคมไทยแตกแยกรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุค รัฐบาลใหม่ต้องสร้างความปรองดองอย่างสร้างสรรค์ พร้อมฝากข้อคิดคนที่จะมาบริหารประเทศไม่ควรเป็นเพียงนักการเมืองเท่านั้น ดังที่มีผู้พูดว่า “นักการเมืองคิดถึงตนเอง แต่รัฐบุรุษหรือรัฐสตรีคิดถึงประเทศชาติ”

วันนี้ (29 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้ส่งบทความ “สิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ 10 ประการ” ถึงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ โดยมีเนื้อหา ดังนี้

บทความนี้เขียนก่อนวันเลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมไทย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุคที่มีการฆ่ากันตายเป็นแสนๆ คน หลายฝ่ายเรียกร้องรัฐบาลใหม่ให้สร้างความปรองดอง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรฟังเสียงเรียกร้องจากสังคม และทำงานร่วมกันกับสังคม สร้างความปรองดองอย่างสร้างสรรค์ ให้สังคมไทยก้าวข้ามความติดขัด เจริญรุดหน้าไปสู่อนาคตที่ดี

ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ ๑๐ ประการ คือ

๑. ตั้งรัฐบาลแห่งความปรองดอง โดยเชิญนักการเมืองจากพรรคต่างๆ รวมทั้งพรรคขู่แข่ง เข้าร่วมรัฐบาลแห่งความปรองดอง ควรถือว่าขณะนี้ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์พิเศษ ที่ต้องการความเสียสละและลดทิฐิมานะ เข้ามาร่วมมือกัน นายกรัฐมนตรีควรขอร้องอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่านเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษา ราชการแผ่นดิน สามารถเข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีได้ ในการนี้ถ้านายกรัฐมนตรีทำงานร่วมกับภาคสังคมที่สนใจกิจการบ้านเมือง จะทำให้มีพลังสร้างสรรค์มากขึ้น

๒. รับทำยุทธศาสตร์การสื่อสารสัมมาวาจา ที่แล้วมาการสื่อสารเชิงเกลียดชัง ก่อให้เกิดความแตกแยกที่พาสังคมไทยไปจ่อที่ขอบเหวแห่งมิคสัญญีกลียุค ยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีสามารถเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดจิตสำนึกได้

๓. ตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ จะใช้ คอป. ชุดเดิมที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน หรือจะตั้งขึ้นใหม่ได้ มีเทคนิคกระบวนการปรองดองที่โลกใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งที่อื่น เช่น แอฟริกาใต้ มาแล้วที่สามารถนำมาใช้ได้ ถ้ารัฐบาลและสังคมเข้าร่วมในการกระบวนการนี้อย่างอย่างจริงจัง ก็น่าจะนำไปสู่การปรองดอง และสร้างชีวิตจิตใจใหม่ได้

๔. สนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง ถ้าชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งสามารถจัดการตัวเองได้ จะดูแลแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้ ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องพุ่งเข้ามาท่วมท้นส่วนกลาง ลดความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐรวมศูนย์กับวัฒนธรรมท้องถิ่นลง รัฐบาลมีเวลาทำงานเชิงรุกต่างๆ รวมทั้งเป็นการสร้างผู้นำท้องถิ่นเก่งๆ จำนวนมาก ซึ่งในอนาคตจะขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาติ

๕. สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ สัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความร่มเย็นเป็นสุข และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรระดมกำลังจากทุกภาคส่วนร่วมสร้างสัมมาชีพในทุกหมู่บ้าน ตำบล เมือง จังหวัด ส่งเสริม SSE (Small Social Enterprise) ให้เชื่อมโยงผู้บริโภคในเมืองกับผู้ผลิตในชนบทที่ทำการเกษตรยั่งยืนให้ เกื้อกูลกัน พลังผู้บริโภคจะไปสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ

๖.จัดสรรที่ทำกินให้เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานอย่างทั่วถึง เรามีเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานกว่า ๔๐ ล้านคน คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่พอกินพอใช้ และขาดความมั่นคงในชีวิต ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มั่นคงแล้วประเทศจะมั่นคงได้อย่างไร ถ้าเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานมีที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและผลิตอาหารกินเอง ไม่ต้องมากครอบครัวละ ๒ ไร่ก็ได้ จะเป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยมั่นคง ต่อไปอาหารจะมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้ได้ของคนจนจะเพิ่มตามไม่ทัน จะเป็นเหตุให้เกิดจลาจล

การที่คนจนมีที่ดินจะทำให้เกิดความมั่นคงในเรื่องที่อยู่อาศัยและอาหาร ภาคอุตสาหกรรมจะแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะถ้าผู้ใช้แรงงานมีที่อยู่อาศัยและมีอาหารกิน จะลดความกดดันเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ถ้าผู้ใช้แรงงานต้องเสียค่าที่พักและซื้ออาหารกิน ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท ก็ไม่พอกินพอใช้ แต่ถ้ามีที่อยู่อาศัยและมีอาหารกินเสียแล้ว ถ้าได้ค่าแรงวันละ ๑๕๐-๒๔๐ บาท ก็เท่ากับเป็นเงินเหลือเก็บ

การมีที่ดินจะสามารถทำให้มีสระน้ำของครอบครัวกระจายทั่วแผ่นดิน เก็บน้ำได้มหาศาล ป้องกันน้ำท่วม แก้ความแห้งแล้ง สามารถปลูกไม้ยืนต้นได้จำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเป็นป่ากลับคืนมา ลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ  และเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงกล่าวว่า การจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่สุด จะเป็นรากฐานที่ส่งผลต่อๆไปให้ประเทศมีความมั่นคง รัฐบาลมีวิธีการได้หลายวิธีที่จะกระจายที่ดินทำกินให้คนจน ซึ่งจะมีประโยชน์ยั่งยืน มากกว่าการแจกเงิน

๗. เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาคกับเศรษฐกิจชุมชนให้เกื้อกูลกัน  เศรษฐกิจชุมชนนั้นเป็นเศรษฐกิจบูรณาการ  เป็นเศรษฐกิจยั่งยืน เศรษฐกิจมหภาคเป็นเศรษฐกิจพลัง ถ้าเชื่อมโยงให้เกื้อกูลกันจะทำให้เกิดทั้งเศรษฐกิจพอเพียง และเศรษฐกิจที่แข่งขันด้วย ทำให้ประเทศมั่นคงและมั่นคั่งไปพร้อมกัน

๘. สร้างแบรนด์ประเทศไทย ต้องส่งเสริมคนไทยที่มีศักยภาพให้สามารถ สร้างความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทำนอง The best of Thailand in…. เช่น ในการกีฬา ดนตรี ศิลปะ ธุรกิจ การพยาบาล วิชาการ ฯลฯ  คนไทยที่มีศักยภาพมีอยู่ แต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน รัฐบาลควรส่งเสริมความเป็นเลิศระดับโลกของคนไทยในด้านต่างๆ ซึ่งจะนำความภาคภูมิใจในตัวเองมาให้คนไทย The best of Thailand จะกลายเป็นแบรนด์ที่ภาคธุรกิจจะเข้ามาใช้เพื่อการแข่งขัน ภาคธุรกิจไทยอาจไม่มีกำลังพอที่จะสร้างแบรนด์ที่ไปแข่งขันได้ระดับโลกแต่รัฐ มีเครื่องมือมาก ควรจะต้องเข้ามาสร้างแบรนด์ประเทศไทย

๙. สร้างประเทศไทยให้เป็นมหาอำนาจทางสันติภาพ ประเทศไทยมีพื้นฐานที่จะเป็นผู้สร้างสันติภาพ เพิ่งมาเสียศูนย์ไปเมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลและทุกภาคส่วนควรสนใจเรื่องการสร้างสันติภาพทั้งภายใน และภายนอกอย่างจริงจัง การมีสันติภาพเป็นทุนอย่างสำคัญในการพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจด้วย

ด้วยที่ตั้งของประเทศไทยควรจะเป็นศูนย์กลางของการผนึกความเข้มแข็งของ สุวรรณภูมิ หรืออาเซียน ประเทศอาเซียนรวมกันมีประชากรราว ๖๐๐ ล้านคน เป็น ๒ เท่าของสหรัฐอเมริกา ถ้าผนึกกันให้เข้มแข็งจะเป็นขั้วอำนาจขั้วหนึ่ง ที่ช่วยลดความตึงเครียดในโลก และเป็นพลังสร้างสันติภาพ ถ้ามีระบบการท่องเที่ยวสุวรรณภูมิครบวงจร ทุกประเทศจะได้ประโยชน์ร่วมกัน หมดปัญหาเรื่องใครกินแดนใคร เพราะใช้ประโยชน์ร่วมกัน คนไทยต้องคิดใหม่ ก้าวข้ามความขัดยังกับเพื่อนบ้านไปสู่ความเป็นมหาอำนาจทางสันติภาพร่วมกัน

๑๐. ยุทธศาสตร์ทางปัญญา สังคมมีความหลากหลายและซับซ้อน การที่จะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศได้สังคมไทยต้องมีปัญญา การที่จะทำตามข้อเสนอ ๙ ข้อข้างต้นได้ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก รัฐบาลควรปรึกษาผู้รู้และดำเนินยุทธศาสตร์ทางปัญญาได้อย่างจริงจัง ยุทธศาสตร์ทางปัญญานี้ประกอบด้วยอย่างน้อย ๓ องค์ประกอบเข้ามาผนวกกัน คือ เรียนรู้ การวิจัย และการสื่อสาร ควรต้องทำให้ได้ทั่วถึง และรวดเร็ว ซึ่งอาจจะถึงเป็นการอภิวัฒน์ทางปัญญา

นี้คือเรื่องดีๆ ๑๐ ประการที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ แม้เป็นเรื่องยากแต่ถ้าผนึกคนไทยทุกภาคส่วนเข้าร่วมมือกัน ก็อยู่ในฐานะที่จะทำได้  ถ้าคนไทยรวมพลังกันก็สามารถทำเรื่องดีๆ อื่นๆ ได้อีกมาก

ในยามนี้ประเทศชาติวิกฤตสุดๆ คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ควรจะเป็นเพียงนักการเมืองเท่านั้น ดังที่มีผู้พูดว่านักการเมืองคิดถึงตนเอง แต่รัฐบุรุษหรือรัฐสตรีคิดถึงประเทศชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น