xs
xsm
sm
md
lg

ไทยถอนตัวออกจากมรดกโลก “สุวิทย์” หัก “อภิสิทธิ์” เพื่อชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับการตัดสินใจของ “สุวิทย์ คุณกิตติ” หัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย ในการประกาศนำประเทศไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก ปลดพันธนาการเปราะแรกบนเวทีนานาชาติให้กับประเทศไทย

ซึ่งก็เป็นไปตาม 1 ใน 3 ข้อเรียกร้องของภาคประชาชนที่ต้องการให้ไทยประกาศถอนตัวออกจากอนุสัญญานี เพื่อตัดโอกาสความเสี่ยงที่ต้องสูญเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร หากการประชุมครั้งนี้อนุมัติแผนบริหารจัดการทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์

โดยหลังจากนี้ ประเทศไทยก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยอมรับในมติของคณะกรรมการมรดกโลก ที่มีท่าทีจะนำแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าในท้ายที่สุดกรรมการมรดกโลกยังดึงดันนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม แล้วมีมติอนุมัติออกมาก็ตาม ประเทศไทยก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม และสามารถดำเนินการทุกวิถีทางในการปกปักษ์รักษาอธิปไตยของชาติเอาไว้

แม้กระทั่งใช้กำลังทหารตอบโต้ผู้ที่จะบุกรุกที่รุกรานเข้าในราชอาณาจักรไทย

สิ่งที่ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้าข่าวการถอนตัวของไทยไม่นาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลับออกลูก “ผิดคิว” เมื่อให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่าคณะกรรมการมรดกโลกเตรียมเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารฯ ไปอีก 1 ปี ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายของไทย แต่จะต้องดูว่าถ้อยคำที่ระบุว่าจะมีการซ่อมแซมบูรณะตัวปราสาทเขาพระวิหารนั้นจะมีผลกระทบหรือไม่ พร้อมทั้งยังย้ำด้วยว่า “ต้องเคารพมติของที่ประชุม...”

ท่าทีของนายอภิสิทธิ์นั้นตรงกันข้ามกับแนวทางที่นายสุวิทย์ตัดสินใจอย่างสิ้นเชิง โดยรายงานข่าวก็ระบุว่า “เบื้องหลัง” ของเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์พยายามขวางการถอนตัวจนนาทีสุดท้าย แต่นายสุวิทย์ตัดสินใจแถลงการณ์ลาออกและวอล์กเอาต์ออกจากที่ประชุม แล้วจึงค่อยโทรศัพท์ข้ามทวีปกลับไปรายงานนายอภสิทธิ์ในภายหลัง

ในความเป็นจริง แนวทางการดำเนินการเรื่องมรดกโลกปราสาทพระวิหารระหว่างนายอภิสิทธิ์ และนายสุวิทย์นั้นไม่ตรงกันมาตั้งแต่ต้น อย่างเมื่อครั้งการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 34 ที่ประเทศบราซิล เดือน มิ.ย.ปีก่อน นายสุวิทย์ก็เตรียมที่จะประกาศถอนตัวออกจากมาแล้วหนหนึ่ง แต่คราวนั้นถูกนายอภิสิทธิ์ยับยั้งไว้ และให้ลงนามในร่างข้อตกลงประนีประนอมชั่วคราวกับฝ่ายกัมพูชาที่เขียนกันบน “เศษกระดาษ”

ซึ่งสาระสำคัญนอกจากจะเป็นการเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารออกไปแล้ว ยังมีข้อผูกพันว่าฝ่ายไทยยอมรับมติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกย้อนหลัง หรือหมายถึงการยอมรับมติการนำปราสาทพระวิหารเข้าบัญชีมรดกโลกนั่นเอง

ที่กลายเป็น “บ่วง” พันขารัฐบาลไทยมาจนถึงวันนี้

อีกทั้งท่าทีของนายอภิสิทธิ์ยังมุ่ง “ถือหาง” แนวทางของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีความพยายามให้มีการจัดทำแผนบริหารจัดการร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งต่างกับนายสุวิทย์ที่ต้องการให้มีการปักปันเขตแดนให้ชัดเจนเสียก่อน เนื่องจากเห็นว่าในแผนบริหารจัดการพื้นที่ของกัมพูชาที่เสนอเข้ามา ยังมีการรุกล้ำชายแดนไทยอยู่

จนเป็นเหตุให้นายสุวิทย์ตัดสินใจ “ลาออก” จากการทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าการทำงานไม่เป็นเอกภาพ และต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว

ก่อนที่จะมีการเจรจาหารือนอกรอบกับนายอภิสิทธิ์ ที่นายสุวิทย์ “ยื่นคำขาด” ให้มอบอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจให้แก่นายสุวิทย์ โดยที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นเพียงคณะทำงานไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจใดๆ

นายอภิสิทธิ์จึงต้องจำใจรับปาก เพราะต้องการใช้นายสุวิทย์สานต่อภารกิจ

จนมาถึงการประชุมที่ประเทศฝรั่งเศสครั้งนี้ ความไม่เป็นเอกภาพก็เกิดขึ้นโดยตลอด เพราะฝ่ายนายสุวิทย์เตรียม “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” โดยการถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงไม่เด็ดขาด โดยพยายามประคองไม่ให้นายสุวิทย์ประกาศถอนตัว และหวังที่จะยื้อเรื่องต่อไปให้พ้นภาระหน้าที่ของรัฐบาลตัวเอง แต่ไม่ต้องการแตกหักถึงขั้นต้องถอนตัว

นายสุวิทย์ที่ผ่านการประชุมร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลกทั้ง 21 ชาติมาหลายต่อหลายครั้ง รู้ดีว่าท่าทีของคณะกรรมการนั้นเอนเอียงเอาใจช่วยฝ่ายกัมพูชามากขนาดไหน โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจที่จ้องฮุบผลประโยชน์ด้านพลังงานผ่านทางกัมพูชา จนมีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการ 14 ชาติให้การสนับสนุนกัมพูชา ขณะที่เสียงข่างน้อย 7 ชาติอยู่กับฝั่งไทย

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากปล่อยให้เรื่องเข้าสู่วาระการลงมติ ก็มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น

ซึ่งนายสุวิทย์ก็เขี้ยวพอที่จะเอาตัวรอดจากการเป็น “จำเลย” ในข้อหาขายชาติ โดยการหักหน้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ยังมัวคิดว่าการเดินเกมของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการยึดมั่นใน “เอ็มโอยู 2543” ว่าจะเป็นเกราะป้องกัน และเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยไม่รู้เลยว่านานาชาติมอง “เอ็มโอยู 2543” เป็นหนังสือรับรองแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งก็หมายความว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายละเมิดดินแดนกัมพูชา หากยึดถือตามข้อตกลงฉบับนี้

เห็นได้จากเวทีนานาชาติทุกเวที ไล่ตั้งแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เวทีอาเซียน ศาลโลก หรือแม้แต่คณะกรรมการมรดกโลก ที่ล้วนแล้วแต่มองว่าฝ่ายไทยรุกรานเพื่อนบ้าน โดยไม่สนใจคำโต้แย้งของฝ่ายไทย เรื่องของเรื่องก็มาจากเอ็มโอยู 2543

มองอีกด้านก็เหมือนนายอภิสิทธิ์ออกลูกประมาทคิดว่าคุมเกมได้ แต่ความเป็นจริงยังไล่ตามเกมของ “รัฐบาลฮุนเซน” อยู่หลายขุม

หรือแม้แต่กับนายสุวิทย์ที่ถูกวางตัวเป็น “เบี้ย” สำหรับเดินเกมในเวทีมรดกโลก ก็ยังเหนือชั้นกว่านายอภิสิทธิ์ ที่ไม่หลงกลคนดีแต่พูด แถมยังพลิกเกมเรียกศรัทธาให้ตัวเองได้อีกอีก ส่งตัวเองขึ้นชั้น “วีรบุรุษ” รับวันเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 โกยคะแนนนิยมให้พรรคอีกเป็นกระบุง

ส่วนนายอภิสิทธิ์ก็ยังคงเป็น “เด็กดื้ออวดดี” คนเดิม
สุวิทย์ คุณกิตติ
กำลังโหลดความคิดเห็น